วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 20, 2550

แพ้ใจ

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ผมพบกับความยากลำบากในใจอย่างแสนสาหัสที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง มันเกิดความรู้สึกกดดันและอยากปลดปล่อยของผมเองส่วนหนึ่ง อีกส่วนเกิดจากความรู้สึกลึกๆ ที่ตำหนิตัวเองถึงความโง่เขลาเบาปัญญาในเรื่องผู้หญิงเต็มประดา

ในโลกนี้ผมกล้าสารภาพได้เลยว่า สิ่งที่ไม่ควรนำมาใกล้ผม และผมเกรงกลัวมันเหลือเกิน ไม่ใช่หัวรบนิวเคลียร์ขนาดสามตันครึ่งที่ใช้ถล่มฮิโรชิม่า และนาราซากิ ไม่ใช่เสือไซบีเรียสูงสามเมตรที่พร้อมตะปบหัวผมเล่นแทนก้อนไหมพรม หรือเจ้าตุ๊กแกและเขียดตะปาดที่ผมแสนขยะแขยงมาตลอดชีวิต

สิ่งเดียวที่ผมไม่อยากให้อยู่ใกล้ๆ แบบประจัญหน้าเลย คือผู้หญิงฉลาดครับ

ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าผมเป็นพวกแพ้ทางผู้หญิงที่ฉลาดเป็นที่สุด ไม่รู้ว่าเวรกรรมมันเกิดจากอะไร แต่ความคลั่งไคล้ไหลหลงในความฉลาดของผู้หญิงมันมาเป็นเอามากตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย จริงๆ มันเริ่มก่อตัวแบบสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นความเป็นเพื่อนมันทำให้เราพอเลี่ยงบาลีไปได้ว่าไอ้ความรู้สึกแปลกๆ มันเป็นเพราะฮอร์โมนมันกระตุ้นจากของสวยๆ งามๆ รอบตัวเท่านั้น

แต่พอเรียนมหาวิทยาลัยมันเริ่มฉายแสงเจิดจรัสสว่างไสวดุจหลอดไฟซิลเวเนียเอา เพราะเริ่มรู้สึกตัวเองแล้วว่าเราไม่ได้ชอบผู้หญิงในแบบที่เพื่อนในคณะส่วนใหญ่ชอบสักเท่าไหร่ ประเภทนมโต หน้าสวย รวยทรัพย์ ยิ่งเป็นดาราชาวบ้านเขามองหันตามคอแทบหัก ผมสามารถนั่งสงบนิ่งแบบไม่ยินดียินร้ายปานสำเร็จวิชาเคล็ดใจน้ำแข็งตระกูลเนี่ยมาได้ ต่อให้อั้ม พัชราภามาลื่นล้มหวอหกตกหล่นอยู่ตรงหน้า ไอ้เอกคนนี้ก็ไม่ได้คิดจะมองไปยลเท่าไหร่ ถ้ามันไม่ได้อยู่ครรลองสายตาตอนนั้นนะ...

แล้วผมก็มาพบความจริงว่าตัวเองปลื้มผู้หญิงแบบไหนเอาตอนหลังสอบกลางเทอม เทอมสองเห็นจะได้ เพราะท็อปสุนทรียศาสตร์ที่ผมลงเรียนเทอมนั้นเป็นผู้หญิง ผู้หญิงที่หน้าตาพื้นในสายตาเพื่อนฝูง ดันกลายเป็นสาวที่ผมนั่งติดกันทุกครั้งที่ใส่ชุดนอนลงมาฟังเล็คเชอร์ (ฮา) ทั้งชั้นเรียนร้อยกว่าคน (จริงๆ ลงทะเบียนฟาดไปสามร้อยกว่า) มีไม่ถึงสิบคนที่นั่งอยู่สองแถวหน้า แน่นอนว่ามีเธอกับผมนั่งอยู่แถวนั้นด้วย เธอที่มาในชุดนักศึกษาเรียบร้อย สีหน้านิ่งเหมือนราชินีน้ำแข็ง ผมที่เข้าห้องเรียนมาในแบบประมุขพรรคกระยาจก ในเวลานั้นมันคงเป็นภาพที่ไม่มีนักศึกษาคนไหนในชั้นเรียนคิดจะจดจำมัน มีแค่อาจารย์ที่สอนเท่านั้นที่ชอบเดินลงมาทักว่าผมทำไมแต่งตัวแบบนี้ลงมาเรียน แล้วชี้ไปหาเธอว่าดูเพื่อนนั่งข้างๆ สิ เธอกำลังกลายเป็นทัศนะอุจาดสำหรับเขานะ ผมได้แต่หัวเราะแล้วขอตัวกลับไปนอนต่อ ส่วนเธอก็คงแยกไปเรียนวิชาอื่นตามประสาเด็กเรียนทั่วไป

แต่นั่นทำให้ผมพบว่าตัวเองมักวนเวียนอยู่กับผู้หญิงเก่งหลายคน ทั้งเก่งในแง่การเรียนและการทำงาน จนไม่น่าเชื่อว่าคนแบบผมจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ดูเหมือนคนคนละระดับชั้นแบบนั้นได้

แต่มันก็เป็นไปแล้ว แล้วก็ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยทำให้ผมมีวันนี้ด้วยใจจริง

แน่นอนว่าความไม่สบายใจครั้งล่าสุดนี้ ก็เกิดจากผู้หญิงฉลาดอย่างที่ว่า ปัญหาคือคราวนี้มันไม่ใช่แค่ผมรู้สึกคิดไปเองข้างเดียว แต่กลายเป็นเกมเอาเถิดเอาล่อแบบ "ใกล้ไปก็ผลัก ไกลไปก็ดึง" มาหลายเวลาแล้ว ครั้งล่าสุดใจจริงผมต้องการบอกกับเธอว่า "ผมต้องการออกไปจากชีวิตเธอ และอยากให้เธอออกไปจากชีวิตผม" แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันตีบตันอยู่ที่คอหอย คำพูดเป็นร้อยที่อยากปล่อยออกมากลับนิ่งงันอยู่อย่างนั้น ผมเสียเวลาพูดติวให้เธอมากมาย แต่ไม่กล้าเอ่ยคำลาครั้งสุดท้ายตอนเดินจาก

ผมอาจจะขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมเสียเธอไปตอนนี้ แม้ว่าทุกวันนี้ผมจะอยู่กับความคาดหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นได้เลยก็ตาม

ผมชอบประโยคหนึ่งจากเพื่อนในพันธุ์ทิพย์ที่บอกว่า "สวรรค์มีหกชั้น นรกมีสิบแปดขุม เลือกเอาว่าจะเดินทางไหน" และผมมั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกนรกอยู่

ผมอาจยอมตกนรก เพราะหวังว่าปลายทางจะมีบันไดสวรรค์รออยู่ข้างหน้า แต่จริงๆ แล้วมันคงไม่มีบันไดที่ว่าหรอก นรกอย่างไรก็คือนรกวันยังค่ำ

แต่ผมก็ยังเดินหนีจากนรกนี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นเธอ หรือเพราะทิฐธิโง่ๆ ที่ผมมีกันแน่ๆ

ผมอาจจะหวังว่าความดีที่มีจะชนะใจเธอสักวันหนึ่ง แต่ดูเหมือนวันนี้ผมจะแพ้ใจเธออยู่หลายช่วงตัว

ไม่ว่าผมจะคิดอะไรกับเธออยู่ตอนนี้ แต่การรอความรักจากคนที่ไม่รักเรา มันเจ็บปวดเหมือนตกนรกอย่างที่ว่า

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แปดปีที่แล้วผมคงเลือกไม่รู้จักเธอเสียดีกว่า

ไม่ใช่ว่าเธอแย่หรือเลวจนเกินอภัย แต่เธอดีเกินไปที่ผมจะลืมเธอลง


เท่านั้นเอง...

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 16, 2550

Amethyst

จริงๆ อัพเพลงนี้เปลี่ยนมาหลายวันแล้วครับ แต่ยังไม่มีโอกาสมาเขียน
หนึ่งเพราะขี้เกียจ สองคือหาเนื้อเพลง เพลงนี้จากในเน็ทไม่เจอ
ได้ความอนุเคราะห์จากคุณ "อดีต" (อีกแล้ว) เสาะหามาให้ วุ้ย เก่งจริง

จริงๆ อยากอัพอีกเพลงนึงขึ้นมากกว่า แต่มันยาวจริงๆ จนเอาใส่ใน
จีโอซิตี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะลองหาเว็บอัพโหลดไฟล์ได้ดูอีกที

เพลงนี้ชื่อว่า Amethyst เดิมเป็นเพลงบรรเพลงใช้สำหรับ Overture
ในคอนเสิร์ทของวง X-Japan ตอนหลังโยชิกิ เอามาเพิ่มเนื้อร้อง
และปรับเป็นเพลงโอเคสตร้า นักร้องชื่อ Kaya เป็นหนึ่งในนักร้อง
โปรเจ็คท์ Violet UK ของท่านโยชิกิเขา
Violet มาจากอะไรจำไม่ได้แล้ว ขี้เกียจไปดูคลิปสัมภาษณ์อีกรอบ
แต่ UK = Underground Kingdom ก็คือโปรเจ็คท์พัฒนาเพลง
ในแบบฉบับเพลงใต้ดินนั่นแหละครับ

ไหนๆ ก็เขียนถึงท่านโยชิกิแล้ว ก็มาเล่าถึงความเป็น "คุณหนู"
ของเขากันหน่อยดีกว่า นี่เป็นข้อมูจากการนั่งดูคลิปรายการ
ฉลองปีใหม่ของญี่ปุ่นเขานะครับ

- ตอนเล่นคอนเสิร์ท โยชิกิจะโด๊ปแรงด้วย ข้างแกงกะหรี่
- โยชิกิ อาบน้ำจากฝักบัวไม่เป็น จนกระทั่งไปทำงานเพลงที่อเมริกา (1992)
- โยชิกิมีไร่องุ่น และไวน์เป็นของตัวเอง ไวน์ของเขายี่ห้ออะไรให้ทาย...
X-Japan ครับ

ครั้งหน้าจะเปลี่ยนเพลงเป็นเพลงนี้นะครับ "Blind Dance" จาก Violet UK เช่นกัน

**************************************************

Amethyst

You were only a whisper away
But I can't touch your heart
If the words aren't enough to bare your soul
I would give you the more

You were always shining sun or rain
Like a violent storm
Close my eyes but you'll never fade
You never disappear

I feel alone
Can't you see me
Standing on the verge of moon
I'll be watching over stars till they are gone
Should I know nothing could make me miss you less

Oh, I've been waiting for you
To tell me what is love
I don't know how to be loved
How to be by your side
Morning light shines in my room
I'm holding dreams of you
It may take no less than this pain
But I can't stop loving you

Feel my heart
You have never known
That you have all of me
Every time I see you I'm falling in love
I can live a lie again but without you...

Oh, I've been waiting for you
To tell me what is love
I don't know how to be loved
How to be by your side
Morning light shines in my rooms
I'm holding dreams of you
It may take the rest of my life
But I can't stop loving you

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 11, 2550

Final Score, but isn't last exam...







หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ตั้งใจไว้ว่าต้องดูในโรงให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็เถอะ ติดใจตรงประเด็นเรื่องชีวิตของเด็กเตรียมเอ็นท์ฯ ที่ต้องมาเจอกับระบบ โอเน็ท เอเน็ทในปีที่ผ่านมาครั้งแรก ที่ทำให้หลายแสนครอบครัวแทบเป็นบ้าตายกับ อาการผีเข้าผีออกของผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่คัดเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา

อาจเพราะตัวเองมีประสบการณ์แย่ๆ มาแล้วด้วยกระมัง เลยอยากดูว่าผู้กำกับ
ที่ผ่านการเคี่ยวมาจากพี่เก้งจะทำหนังออกมาให้เรา "อิน" ได้มากแค่ไหน

คำตอบคือ เค้าทำได้เกินกว่าที่ผมนึกถึงเยอะครับ ต้องบอกว่า เด็กที่เขาตามถ่าย เป็นพวกมีของกันทุกคน ทำให้มิติของเรื่องราวตีออกไปได้ไกลกว่า เรื่องของการเตรียมตัวสอบเอ็นทร้านซ์อย่างเดียว เรื่องชีวิต ความรัก ความฝัน ของเด็กชายสี่คน พร้อมกับเพื่อนแวดล้อมมากมาย ทำให้ผมต้องอมยิ้มกับ "สิ่งที่พวกเขาเป็น"

นี่คือหนังที่กำลังก้าวผ่าน และคนที่เคยผ่านเส้นทางนี้มาแล้ว น่าเข้าไปดูบันทึกความทรงจำของพวกคุณ

ดูว่าระบบการศึกษาได้ฟูมฟักและทำร้ายเด็กของเรายังไงบ้าง ดูว่าเด็กคนหนึ่ง ไม่ได้มีหน้าที่เรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่เขามีเรื่องราวในชีวิตอีกเยอะแยะมากมายให้เรียนรู้ และทำความเข้าใจกับมัน

สุดท้าย Final Score อาจจะเป็นประตูสุดท้ายของเด็กวัยรุ่น ใช้ก้าวผ่านสู่รั้วมหาวิทยาลัย แต่ชีวิตคนเรา นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ต้องทำข้อสอบ เผลอๆ มันเป็นแค่ข้อสอบชุดแรก ในมหาวิทยาลัยชีวิตเท่านั้นเอง