วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 28, 2549

November Rain

วันนี้ขออัพเกรดบล็อกตัวเองครับ หลังจากกลับบ้านมาตั้งแต่เช้า

อุดรวันนี้อากาศเย็นพอสมควร ตัวเลข 14 องศา คงไม่ใช่ตัวเลขปกติของอากาศในกรุงเทพเป็นแน่ จะพอใกล้เคียงคงสมัยผมเรียนที่รังสิตนั่นแหละ เคยมีปีนึงหนาวถึง 19! อาจจะบวกลมเข้าไปด้วย แต่เล่นเอาแทบไม่อยากลุกไปไหนเลยจริงๆ

ที่อัพเกรดบล็อกก็คือ ตอนนี้บล็อกผมมีเพลงกับเขาเสียที หลังจากบ้านนอกหลังเขามานานหลายเพลา ก็ได้ใบบุญจากพี่แจ๋วที่ผมทำลิงค์ไว้ข้างๆ นี่แหละครับ อาศัยส่องดูโค้ดในเว็บบล็อกเธอแล้วเอามาดัดแปลงดู ทดลองเมื่อกี้ใช้ได้ก็ดีใจแล้ว :)

เพลงที่ผมเอาขึ้นบล็อกก็คือเพลง November Rain ของวง Guns And Roses วงดนตรีร็อกแบบ LA Guns ที่โด่งดังช่วงรอยต่อยุค 80 มา 90 เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มชุดที่น่าจะเป็นอัลบั้มที่คลาสสิคที่สุด และดีที่สุดของวง เพราะเป็นอัลบั้มที่โชว์ความอหังการ์ แสดงให้เห็นว่าวงนี้ไม่ใช่วงประเภทขายเสน่ห์แบบฉาบฉวย ขายการแสดงล่อแหลมทางเพศแบบวงเดียวกันที่มีเกร่อเป็นดอกเห็ดหน้าฝน ด้วยออกเป็นอัลบั้มคู่ในชื่อ Use Your Illusion I & II ยังดีที่ออกแบบแยกขาย ไม่งั้นเด็กจนๆอย่างผมคงหาซื้อของแท้มาฟังได้ยากสมัยนั้น (ตอนนั้นผมได้ค่าขนมวันละ 30 บาท เอง!) โดยส่วนตัวผมชอบเพลงในชุด II มากกว่า I เพราะมีเพลงที่ฟังแล้วถึงอกถึงใจเยอะกว่า I ที่เน้นเพลงเร็วฟังเอาสนุกมากกว่า แต่เพลงนี้คือข้อยกเว้น เพราะเป็นเพลงเดียวของวงนี้ที่ผมฟังมายาวนานตั้งแต่ซื้ออัลบั้มนี้มา จนทุกวันนี้ยังต้องหาดาวน์โหลดมาเก็บในเครื่องเพื่อฟังอยู่เรื่อยๆ

เด็กๆ ผมไม่เข้าใจหรอกว่าเพลงนี้มันกระตุ้นอะไรข้างในผมตรงไหน ผมรู้สึกแค่มันเพราะมากเท่านั้นเอง แต่พอโตมายิ่งเจอแฟนเพลงที่ชอบวงนี้เหมือนกัน รวมถึงประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้น ทุกวันนี้ผมเลยรู้สึกว่าเพลงนี้มีอะไรมากกว่าเพลงร็อกช้าๆ เศร้าๆ ที่มีท่อนริฟกีต้าร์เจ๋งๆ เท่านั้น

เรื่องราวของเพลงก็ไม่ต่างจากในมิวสิควิดีโอได้เล่าเอาไว้ ก็คือชายคนหนึ่งกำลังจะแต่งงานกับหญิงที่เขารัก แต่กลับรู้สึกว่าในใจของเธอมีอะไรซ่อนอยู่ เขาจึงต้องการบอกให้เธอรู้ว่า "คนทุกคนมีความหลัง คนทุกคนมีอดีตที่เจ็บปวด เธออาจจะไม่มีใครเป็นเพื่อนแท้ของเธอ แต่ถ้าหากตัดสินใจที่จะรักแล้ว ขออย่ากลัวความผิดหวัง อย่ากลัวความเจ็บปวด เพราะเธอยังมีเวลาที่เธอเป็นตัวของตัวเองได้ เธอยังมีคนเข้าใจเธอ และร่วมเดินไปกับเธอ แม้จะต้องเดินฝ่ากลางฝนเดือนพฤศจิกาที่แสนหนาวเหน็บเข้าขั้วหัวใจก็ตาม"

และเพลงนี้ผมส่งเนื้อมันไปให้น้องสาวคนนึง เพื่อต้องการบอกข้อความข้างบนนี้แหละ :)

เป็นห่วงเสมอนะ

วันอังคาร, ธันวาคม 19, 2549

วันที่ผู้ชายคนนี้ไร้เสียง

ตอนนี้ผมอยู่สภาพ "แหบเสน่ห์" อยู่ครับ

ไม่ต้องไปร้องเพลงที่ไหน ไม่มีเพลงฮิตติดตลาดกับใครเขา แค่อาการหลอดลมอักเสบก็พอแล้วจะทำให้ผมเสียงหาย ไม่ใช่แค่แหบสิ ตื่นมาตอนเช้ามันหายไปเลยตะหาก

อาการทุกวันนี้คือ เสียงแหบๆ ฮื่อๆ คือตะโกนพูดเอาครับ เสียงออกมาได้แค่นั้นจริง ถ้าพูดตามจังหวะปกติ จะไม่มีเสียง หรือเสียงแผ่วๆ ออกมาจากปากเท่านั้นเอง

ด้วยอาการแบบนี้เลยไม่ได้ไปทำงานมาสองวันแล้ว วันนี้กระแดะออกไปเอางานจากออฟฟิสกลับมาทำ (พร้อมโดนจิกให้ทำงานต่อที่ออฟฟิสจนเย็น) เลยพบความจริงว่า ถ้าตัวเราไม่มีเสียง การเดินทางไปไหนมาไหน ดูมันลำบากลำบนเหลือแสนเอาการอยู่

ขึ้นรถเมล์กระเป๋าก็ต้องตะแคงหูฟังว่าพูดอะไร นั่งรถมอเตอร์ไซรับจ้าง ก็ต้องบอกใกล้ๆ ว่าจะไปไหน แถมต้องลุ้นอีกว่าเค้าจะฟังถูกตามที่เราอยากไปรึเปล่า (วะ)

แต่ถึงยังไงเสาร์-อาทิตย์ที่จะถึงก็ยังมีนัดติวอีกอยู่ดี (นั่นแหละ) ที่สำคัญตอนนี้ต้องหายให้ทัน แล้วก็ขอนัดสถานที่ที่ไม่มีลมแรงๆ แบบใต้ตึกนิติอีก ไม่งั้นกลับบ้านไปตายแน่ๆ...

ปล. ป่วยมาสิบวัน การบริหารร่างกายเลยชะงักลงไปบ้าง ตอนนี้ออกกำลังนิดหน่อยก็เริ่มเมื่อย เหนื่อย ตึง ขึ้นมาทันตาเห็นเลย เอาวะ กลับบ้านไปต้องไปฟิตให้หนักหน่อยแล้ว

วันพุธ, ธันวาคม 13, 2549

Tomorrow never comes

ช่วงนี้ห่างหายจากการอัพบล็อกไปพักนึง ด้วยเพราะตัวเองไม่มีอะไรมากกว่างาน งาน แล้วก็งาน วันหยุดยาวๆ ก็ไม่ได้ไปไหน นอกจากพักผ่อนอยู่กับห้อง

อ้อ มีเจ็บป่วยเป็นไข้ด้วยอีกอย่างนึง ช่วงเดือนนี้ผมป่วยง่ายครับ เพราะเป็นคนที่ไวกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะที่เปลี่ยนกันแบบ เช้า สาย บ่าย เย็น นี่ มันพาลทำผมออกอาการแย่เอาง่ายๆ นอกจากอาการป่วยของตัวเอง วันก่อนอดีตรูมเมทเพิ่งส่งข่าวเกี่ยวกับเพื่อนเล่นเกม ที่ตอนนี้กลับบ้านไปใช้ทุนหลวง ตามระเบียบราชการในฐานะเภสัชกรประจำอนามัยต่างจังหวัด ข่าวล่าสุดก็คือ เพื่อนผมคนนั้นกำลังป่วยครับ นอกจากโรคกระเพาะ โรคไต หมอกำลังตรวจหาเซลมะเร็งอยู่ เจ้าตัวเลยโทรมาร่ำลาเพื่อนฝูงที่ติดต่อได้ อารมณ์ว่าทำใจไว้แล้วว่าอยู่ไม่ยืดแน่ๆ

พอได้ยินเรื่องเพื่อนคนนั้น ผมก็ต้องกลับมาคิดถึงตัวเอง พร้อมกับนึกถึงคำพูดของด็อกเตอร์วรฑา ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา หลังจากสู้กับโรคมะเร็งอยู่สองปีกว่า

ด็อกเตอร์วรฑา เตือนเรื่องการชีวิตไว้ว่า ขอให้ทุกคนระวังตัวกันไว้หน่อย อย่าใช้ชีวิตให้มันเปลืองมาก อย่าคิดเรื่องคุ้มไม่คุ้ม เพราะเวลาเราจะตายจริงๆ รับรองว่าไม่มีใครคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้วหรอก


ทุกคนกลัวตายทั้งนั้น เฮือกสุดท้ายทุกคนก็หวังว่าจะมีเฮือกต่อไปอยู่เรื่อยๆ


เมื่อวานผมเพิ่งโทรหาน้องคนนึงที่ให้ผมช่วยติวหนังสือให้ ใจผมไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรไหมถ้าเจอหน้าเธอนานๆ อีกครั้ง แต่มันคงเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นคนไปสัญญากับเธอเองว่าอะไรช่วยได้ก็จะช่วย

ในใจตัวเองรู้สึกอะไรอยู่ ก็คงต้องปล่อยให้ใจมันจัดการตัวเองไปแล้วกัน

หน้าที่ของตัวเองก็ทำให้มันเรียบร้อย คงต้องแบ่งตัวกับใจแยกให้ออกเสียแล้วสิ

ไม่รู้จะทำได้ไหม แต่จะพยายาม

วันอาทิตย์, ธันวาคม 03, 2549

อนาคต

คะแนนสอบ ทั้ง CU-TEP และ CU-Best ออกมาแล้วครับ

ถามว่าพอใจมั้ย ต้องตอบว่าพอใจ เพราะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย
หนังสือก็ไม่ได้อ่าน เพราะคู่มือที่มีขาย ดันเฉลยผิดซะเยอะอีก
พอไม่มั่นใจเลยไม่อ่านเอาเสียเลย ไม่งั้นเดี๋ยวมีมึน มีมั่ว

การสอบหนนี้เลยเป็นเหมือนการสอบวัดความสามารถตัวเอง
แต่มันต้องใช้สมัครเข้าเรียนจริงๆ นี่สิ

ตั้งใจว่าจะยื่นไปสองหลักสูตร คือภาคปกติ และภาคนอกเวลา
ภาคนอกเวลาก็ตัดสินใจยื่นหลักสูตรที่อยากเรียนจริงๆ เลย
นั่นคือหลักสูตรบริหารธุรกิจการบิน

อนาคตจะเรียนอันไหน หรือตกทั้งคู่ก็ยังไม่รู้

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เข็มทิศชีวิตต้องเริ่มตั้งเป้าแล้ว

มัวใช้ชีวิตแบบ Play safe อย่างทุกวันนี้ต่อไป
ผมรู้เลยว่าตัวเองก็กำลังดำดิ่งลงไปอีก

ไม่เชิงว่ายิ่งอยู่ยิ่งแย่ แต่พอมันนิ่ง ผมก็หมดความท้าทาย
สุดท้ายไฟในใจมันพาลจะมอดหมดเอานี่สิ

เอาวะ ได้เวลาตั้งต้นชีวิตใหม่แล้ววุ้ย

วันศุกร์, พฤศจิกายน 24, 2549

สบายตัว แต่ไม่สบายใจ

ช่วงนี้งานที่ออฟฟิสกำลังว่าง คือมีงานเฉพาะงานด่วนจริงๆ ส่วนงานประจำผมเคลียร์เสร็จไปได้ราวๆอาทิตย์นึงแล้ว เลยเป็นเหตุให้มีเวลากลับไปนั่งเข้าบอร์ดรุ่นมหาวิทยาลัย เข้าไปอีกทีคนทำมันล้างดาต้าเบสเก่าทิ้งหมด เลยต้องไปนั่งกรอกใหม่ แถมรู้ว่าเพื่อนๆ เริ่มท้อง เตรียมเป็นแม่กันหมดแล้ว จนถึงวันนี้ผมเลยเป็นคุณลุงของหลานสิริรวมเกือบยี่สิบคนแล้ว เยอะเนอะว่าไป เพราะรวมทั้งเพื่อนสมัยมัธยมเข้าไปด้วย พวกนั้นอยู่ต่างจังหวัดเรียนจบก็แต่งงานกันเลยมีหลายคู่ บางคนเลยเป็นคุณแม่ลูกสอง คุณพ่อลูกสาม (เมียไม่นับ) ไปเยอะแยะ
*********************************************
น้องที่ไม่ได้ติดต่อกันมาพักนึง เริ่มมีเรื่องมาปรึกษาผมอีกแล้วครับ ยอมรับว่าผมเองใจนึงอยากช่วยเธอ อยากคอยแก้ปัญหาให้เพราะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูเด็กคนนี้ เธอมีความคล้ายน้องสาวคนเดียวของผมเหมือนกัน ยิ่งเหมือนกันตรงมีปัญหาเรื่องผู้ชายเข้ามาในชีวิตเยอะเหลือเกิน

แต่อีกใจนึง ผมอยากต่อว่าเหมือนกันนะ เพราะเรื่องที่เธอมาขอความช่วยเหลือ มันทำผมเจ็บปวดใจเล็กๆ อยู่เอาการ จนเมื่อคืนผมเองทนไม่ไหว ต้องตั้งคำถามให้คิดบ้างว่า "เธอเอาเรื่องคนที่เธอชอบ มาปรึกษาคนที่ชอบเธอเนี่ย เธอรู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้รู้สึกยังไง"
*********************************************
เมื่อเช้าตื่นมาเลยนึกถึงเพลงเก่าของวง พอง พอง ได้พอดี เป็นเพลงที่เพราะที่สุดของวงนี้แล้วนะ เสียดายที่ออกมาจังหวะไม่ดีมากๆ เลยกลายเป็นเพลงดีที่ไม่ฮิทไปอีกเพลง

ตอบเธอ (พอง พอง)

กับเธอ คนที่บอกว่ารักเขามากมาย
ที่เธอมาระบาย และร้องไห้ให้ฟัง
บอกว่ามีเรื่องราว ไม่เข้าใจกันและกัน
และถามเอากับฉัน ว่าควรทำอย่างไร

ตอบเธอไม่ได้เหมือนกัน ก็ฉันยังไม่มั่นใจ
ว่าตัดเธอ หมดจากใจหรือยัง
เธอกำลังจะถามเรื่องเขา คนที่เธอรักมากมาย
กับผู้ชายคนนี้ ที่รักเธอเช่นกัน
แค่ได้ฟังเรื่องราว ใจฉันยังสั่น
แล้วคำตอบนั้น จะตอบเธอได้ไง

วันเสาร์, พฤศจิกายน 11, 2549

The Prestige: มายา ริษยา...


ความริษยาของมนุษย์อันตรายเสมอ เพราะมันมักชักจูงคนคนหนึ่งให้ทำเรื่องที่ปกติไม่คิดจะทำออกมาได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะความริษยาคือไฟแรกที่มนุษย์ มันทำให้ใจร้อนรุ่ม มันแผดเผาสำนึกชั่วดีของเราให้แตกดับไปได้ ถ้าเราไม่รู้จักเอามันลงในเวลาที่เหมาะสม

ถ้าบอกว่าความริษยาของคนทั่วไปอันตรายแล้ว คนบางจำพวกยิ่งควรจะหลีกเลี่ยงไฟริษยาให้ไกล โดยเฉพาะคนประเภทที่เราเรียกขานเขาว่า "นักมายากล" คนจำพวกนี้ควรดับไฟริษยา หรือเอามันไปเติมเชื้อที่ถูกที่ควร มากกว่าจะเอาไว้เผาใจตัวเอง เพราะพวกเขาทำในสิ่งที่เราละเลยให้กลายเป็นความน่าฉงน ทำสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องวิเศษได้ ถ้าไฟริษยาอยู่ในใจคนแบบนี้ ความวิเศษจะกลายเป็นเล่ห์ร้าย เรื่องอัศจรรย์จะกลายเป็นแผนชั่ว แบบไม่ต้องสงสัย

อย่างในเรื่องนี้ สองนักมายากลที่เป็นเพื่อนรัก กลับกลายเป็นคู่แค้น เพราะความริษยาในความเก่งกาจที่อีกฝ่ายมี ชนิดเก็บเอาไว้ไม่ได้ ต้องหาวิธีเอาชนะทุกวิถีทาง การหักหน้า ทำลายกล โขมยความคิด จนถึงวางแผนฆ่า ของเหล่านี้ถูกงัดออกมาใช้เบื้องหลังเวที เพื่อให้เบื้องหน้า เขาจะกลายเป็นนักมายากลผู้สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้ชมไปตลอดกาล

สิ่งที่อยู่ในใจผมไม่ใช่ลีลาการแสดงของ คริสเตียน เบล หรือฮิวจ์ แจ๊กแมน ทั้งคู่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติครับ หักเหลี่ยมเฉือนคมกันได้มันหยดตลอดทั้งเรื่อง

ไม่ใช่ฝีมือการกำกับของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ในฐานะแฟนหนังชนิดเหนียวแน่นของเขา เพราะตามดูมาตั้งแต่ Memento จนถึงเรื่องนี้ ฝีมือของเขายังดีไม่มีตก การเล่าเรื่องแบบสลับเวลา หลอกล่อคนดูให้รู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกได้อย่างยอดเยี่ยม

สิ่งที่อยู่ในใจผม มันคือผมกลับมานั่งคิดหลังจากดูจบว่า "ผมกำลังริษยาใครอยู่รึเปล่า"

หลังจากชีวิตผลักดันตัวเองให้ยึดการขีดเขียนเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ผมกลับยังเจอปัญหาเดิมๆ เหมือนเมื่อตอนเริ่มต้นวันแรกไม่มีผิด อาจจะเพราะอ่านมาก รู้มาก หรือด้วยเหตุผลอื่นใดไม่รู้

แต่ผม "ไม่เคยพอใจงานของตัวเอง" เอาซะเลย

ผมเคยตั้งใจว่า ถ้าวันไหนผมเขียนให้ตัวเองอ่านแล้ว "ปลื้ม" ได้ วันนั้นผมจะเอางานชิ้นนั้นไปให้ใครซักคนเอามันออกไปประกาศว่าผมได้ทำงานเสร็จแล้วหนึ่งชิ้น

แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง และผมต้องนั่งเฝ้ารอวันนั้นอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ผมเขียนงานไม่ออก ทุกวันนี้แม้แต่งานแปลที่ทำประจำยังต้องบังคับตัวเองให้ดูแค่ไม่กี่รอบ ไม่อย่างนั้นผมต้องนั่งแก้มันจนไม่ได้ส่งงานเลยซักชิ้นเป็นแน่

งานหลายชิ้นผมแก้แล้วแก้อีกจนทนไม่ไหว ถ้าไม่ปัดส่งไปเลย ก็ต้องลบทิ้ง โดยเฉพาะงานที่ผมเขียนส่วนตัว มันหนักไปทางอย่างหลังมากกว่า

พอดูหนังเรื่องนี้จบ ผมเลยต้องหนังตัวเองว่าผมกำลังสับสนอะไรอยู่รึเปล่า

คนไปดูด้วยถามผมด้วยคำถามสั้นๆ ว่า "ตกลงอ้วนไม่พอใจงานตัวเอง หรือไม่พอใจตัวเองตอนนี้กันแน่"

นั่นสิ หรือผมกำลังริษยาตัวเองที่อยู่ในความคิด ความฝันของผมเอง ผมกำลังเอาตัวเองในวันวานจนถึงตอนนี้ ไปเทียบกับตัวเองในแบบวาดหวังเอาไว้ และเชื่ออย่างฝังหัวว่าสามารถเอาชนะตัวตนในจินตนาการของตัวเองได้

ผมอาจลืมไปว่า จินตนาการเป็นเหมือนขั้นบันไดขั้นต่อไป ยิ่งผมเดินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเพิ่มขั้นความฝันให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพยายามก้าวให้เร็วเท่าไหร่ ขั้นต่อไปยิ่งเพิ่มความสูงเร็วขึ้นเท่านั้น

หรือผมกำลังพยายามไล่ตาม บางสิ่งที่ผมไม่วันเดินไปถึงกันแน่ ผมชักสงสัยตัวเองขึ้นมาแล้วสิ...

วันพุธ, พฤศจิกายน 08, 2549

Sugar&Spice: เพราะรักเป็นเช่นนั้น ฉันถึงเฝ้าใฝ่หา...

จริงๆ หนังเรื่องนี้ผมเกือบพลาดไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เห็นแบนเนอร์กิจกรรมของพันทิพย์ ก็คงไม่ได้คิดจะขอตั๋วมาดูซักเท่าไหร่ บอกตรงๆ เกือบต้องเสียดายที่พลาดหนัง Coming of Age เก๋ๆ เรื่องหนึ่งไปเลย

ปกติถ้ามีหนังแบบ Road Movie หรือ Coming of Age มาฉายในบ้านเรา ผมเองมักไม่ยอมพลาดตีตั๋ว หรือหาตั๋วไปดู เพราะส่วนหนึ่งเป็นรสนิยมส่วนตัวกับหนังประเภทนี้ อีกส่วนคือถ้าลองได้ลงโรงฉาย ยังไงหนังประเภทมักมีสารบางอย่างส่งให้คนดูเอากลับไปคิดกันเล่นๆ อยู่เสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน แม้ว่าตัวเนื้อหาจะเกริ่นถึงเรื่องความรัก แต่สาระสำคัญของหนังเรื่องนี้กลับเป็นเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการชีวิตของเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ค่อยๆ เรียนรู้ชีวิตผ่านความรักของตัวเอง

ไม่อยากเล่าเนื้อหามาก เพราะอยากให้เข้าไปดูกันมากกว่า ถ้าดูในโรงไม่ทัน หา DVD มาดูได้ครับ :p สำหรับแฟนของน้องยูยะที่ติดใจมาจาก Nobody Know รับรองได้ว่าคุณจะต้องประทับใจอีกครั้งกับลีลาการแสดงแบบน้อยได้มากของเด็กหนุ่มคนนี้ ผมเชื่อว่าถ้าเขายังรักษาคุณภาพในการเลือกหนังเล่นแบบนี้ได้ต่อไปเรื่อยๆ คงได้ดูพ่อหนุ่มคนนี้เล่นหนังระดับที่โผล่บนเวทีกันอีกแน่นอน อีกคนนึงที่เล่นได้เจ๋งและคุมหนังทั้งเรื่องได้อยู่หมัด ก็คือนัตซึกิ มาริ ที่รับบทเป็น "แกรมด์มา" ของพ่อพระเอก ถ้าไม่ได้นักแสดงเจนสนามแบบเธอ ผมว่าพาลทำหนังเรื่องนี้กร่อยได้ง่ายๆ บทของเธอคือคนที่เป็นทุกสิ่งให้พระเอก คือครูผู้สอนบทเรียนชีวิตให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งรู้จักเรียนรู้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง

ดูจบแล้วนอกจากเพลงเพราะๆ ของ Oasis กับบรรดาเพลงคลาสสิคทั้งหลายที่ร้อยเรียงบนเรื่องได้อย่างสนุกสนาน และไร้จุดสะดุด ก็คงเป็นความหมายของชื่อเรื่องเนี่ยหละ เรียกว่าพอไคลแม็กซ์มาถึงผมก็อมยิ้มไปกับ วลีที่โปรยบนกล่องคาราเมลที่ แกรนด์มา กินเป็นประจำ "อุดมด้วยคุณค่า รสชาติน่าหลงใหล"

เพราะความรักมันไม่มีสูตรสำเร็จ เราจึงถามไถ่หา
เพราะรักนั้นมันตราตรึง เธอจึงโหยไห้
แล้วรักเราจะเป็นไร ไม่มีผู้ใดรู้คำตอบนั้น

นอกจากเราสอง ผู้ปองรักกัน...

วันอังคาร, ตุลาคม 31, 2549

เก็บตกงานหนังสือ (1)


กะไว้ว่า "จะไม่ไปแล้วงานหนังสือฯ" เพราะไปทีไร เสียเงิน เหนื่อย หงุดหงิด กลับมาด้วยแทบทุกครั้ง เหนื่อยกับการเดินทางที่ถึงใกล้ที่อยู่นิดเดียว แต่ต้องฝ่าการจราจรที่เข้าขั้นจลาจลไปทุกครั้ง หงุดหงิดกับการต้องระวังว่าจะไปเหยียบเท้าใคร รึบางครั้งเป็นขาคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงพื้นในงาน เพราะนึกจะนั่งตรงไหนก็นั่งกันเลยก็มีเหมือนกัน จะไปว่าคนที่นั่งก็ไม่ได้เพราะเก้าอี้ให้นั่งในงานก็แสนน้อยนิด จะให้ยืนก็เบียดเสียดกับคนอื่น นั่งลงไปอากาศก็แย่เหมือนกัน ส่วนเรื่องเสียเงินมันกลายเป็นปัจจัยหลักของคราวนี้ เพราะเพิ่งจ่ายค่าโน้ตบุ๊กเครื่องนี้ไป แทบหมดเงินเก็บไปแล้ว จะให้ไปเสียเงินกับหนังสืออีกมันกระไรอยู่...

แต่ผมต้องไปอีกจนได้ พร้อมกับเสียเงินไปอีกพันกว่าบาท (ชีวิต...) เลยเอาหนังสือที่จ่ายเงินไปเนี่ยแหละ มาเขียนเชียร์ลงบล็อกหน่อยดีกว่าเล่มแรกที่อยากเขียนถึงคือ "ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้" ของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ครับ

ถามว่าเป็น บัณฑิต อึ้งรังษี คือใคร?เขาคือผู้ชายคนเดียวในประเทศไทย (เท่าที่ผมรู้จักตอนนี้) ที่สามารถเรียกตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า มีอาชีพเป็น "วาทยกร"

"วาทยกร" คือคนที่ถือไม้บาตอง ยืนอยู่หน้าวงออเคสตร้า ทำท่าบ้าพลังที่หลายคนเคยเห็นในทีวีนั่นแหละครับ สิ่งที่เขาเอามาเขียนลงหนังสือคำแนวคิดแบบรวบยอดของเขา ที่ยึดมั่นและเดินตามจนประสบความสำเร็จในฐานะวาทยกรระดับโลกชายคนนี้เริ่มต้นฝันว่าจะใช้ดนตรีที่ตัวเองรักเป็นอาชีพเลี้ยงตัว ในประเทศไทยที่ดนตรียังมีฐานะและคุณค่าไม่ต่างจาก "เครื่องสร้างบันเทิงแบบบ้านๆ" ประเทศที่นักเปียโนฝีมือดีต้องหน้าตาดีด้วย ไม่อย่างนั้นก็ขายไม่ออก ประเทศที่นักร้องเสียโซปราโน่ และเทอร์เนอร์ มีไว้แหกปากร้องตอนงานพิธีอะไรก็ตามที่มีฝรั่งหัวทองมาเยอะๆ แล้วอยากให้มันดูมีชาติตระกูลขึ้นมาบ้าง

ด้วยสภาพแต้มติดลบตะบันราดแบบนี้ คุณบัณฑิต ยังอุตสาหะไปเรียนดนตรีพื้นฐาน ส่งตัวเองไปเรียนด้านวาทยกรที่อเมริกา จนได้งานที่นั่น แถมประสบความสำเร็จชนะการแข่งขันของ มาเอสโตรมาเซล วิลาร์ จนได้ฝึกงานกับมาเซลแบบใกล้ชิดถึงสามปีจากติดลบไปถึงร้อยเนี่ย น่าภาคภูมิใจนะครับ เลยเป็นหนังสือที่ต้องซื้อมาอ่านให้ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่เอือมกับหนังสือแบบ How To จะแย่อยู่แล้ว

แต่เล่มนี้ ละเว้นไว้ และอยากให้หลายคนอ่านมัน เพราะเป็นหนังสือที่ให้กำลังคนทียังเคว้งคว้างได้ดีมากๆ ครับเพราะผมเชื่อเหมือนคุณบัญฑิตอย่างว่า

"As a man think, he is""หากคนคิดจะเป็นอะไร เขาจะเป็นอย่างนั้น"

เล่มหน้า จะเขียนถึงนิยายกำลังภายในเล่มล่าสุดที่อ่าน "อรหันต์ทองคำคนที่แปด" แปลโดย โจอี้ ตาฟาง

วันพุธ, ตุลาคม 25, 2549

หาแรงบันดาลใจ

ช่วงนี้มีอาการป่วยงอมแงมนิดหน่อยครับ เป็นไข้อากาศเปลี่ยนหรือว่าเป็นไข้อื่นไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ตัวร้อน หัวหมุนๆ เบลอๆ มาสองสามวันแล้ว และคาดว่าน่าจะเป็นต่อไปอีกสักพัก

---------------------------------------------------

วันก่อนดูหนังช่อง Star Movie เรื่อง Shadow Dancer หนังเน่าได้จิตมาก ที่ทนดูได้เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเขียนนี่แหละ พระเอกเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้ไปตามเอาต้นฉบับใหม่จากนักเขียนนามอุโฆษที่หยุดเขียนงานไปนานกว่ายี่สิบปี ปัญหาที่พระเอกของเราเจอคือ การไม่มีแรงบันดาลใจที่จะเขียนงาน เป็นปัญหาหลักของนักเขียนฉบับเริ่มต้นที่ไม่รู้ว่าจะหยิบอะไรมาเขียนแล้วงานออกมาโดดเด้ง เป็นที่น่าสนใจของคนอ่าน ส่วนนักเขียนใหญ่เจอปัญหาตรงกันข้ามครับ ที่หยุดเขียนไปยี่สิบกว่าปีไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะเขียน แต่เขียนไม่ได้เพราะแรงบันดาลใจหลักคือภรรยาสุดสวาท ขาดใจดิ้น ดันมาสิ้นลมจากไปแบบปัจจุบันทันด่วน ทิ้งลูกสาวสวยๆ สามคนไว้ให้พ่อเลี้ยง (และรอพระเอกมาหม้อ) การเล่าเรื่องของผู้กำกับถือว่าโอเคนะครับ พยายามใช้วิธีแบบ Absurd และ Surreal มาเล่นกับจินตนาการของพระเอกระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่กับคนในเมืองเล็กๆ ของอิตาลี แต่ที่น่าเขกมะเหงกลงกระบาลคือตอนจบมันช่างน้ำเน่าแบบ "แล้วสองเราก็ครองรักชั่วนิรันดร์" อะไรทำนองนั้น เรียกว่าเนื้อเรื่องและปมที่ปูมาทั้งเรื่องเล่นมาทิ้งเอาตอนจบเนี่ยหล่ะ สรุปคือ มันจะทำหนังมาตั้งยาวทำไมกัน เล่นมาทำตอนจบแบบนั้นเนี่ย เหอ...

---------------------------------------------------

จะว่าไปไอ้อาการเขียนอะไรออก (แบบเอาไปหาเงินกับชาวบ้านได้) ผมจบลงตั้งแต่ตอนมีเรื่องกับไอ้ฝรั่งที่ถนนวิทยุแล้วหละครับ เพราะพอมาทำงานประจำ ภารกิจที่ทำบวกกับการงานแทบไม่เหลือเวลาและรายรับพอไปหาเวลาทอดหุ่ยหาแรงบันดาลใจมาเขียนงานเอาซะเลย

บางทีผมเองอาจจะพลาดในแง่ไม่เคยเรียกร้องอะไรเพื่อตัวเองนักก็ได้ ชีวิตเลยอลหม่านแบบทุกวันนี้ เอาว่าเดี๋ยวคงได้เวลาขยับทำอะไรบ้าง ก่อนจะรากงอก แต่ใจเฉาอยู่ในออฟฟิสไปเงียบๆ

ว่าแล้วยังไม่ได้ซื้อหนังสือใหม่เลยแฮะ งานเทศกาลหนังสือก็ใกล้จบแล้วด้วย ต้องไปหามาซักเล่มดีกว่า แต่ก่อนอื่น... ขอเวลารักษาตัวก่อนนะครับ

วันศุกร์, ตุลาคม 20, 2549

คำถามเสียดใจ

วันนี้เพื่อนโทรมาหาครับ หลังจากไม่ได้ติดต่อกันเลยสองสามปี เธอเป็นเพื่อนสนิทผมตั้งแต่สมัยมัธยมปลายเรียนมาหวิทยาลัยก็ยังอุตส่าห์เรียนที่เดียวกันถึงจะคนละคณะก็เหอะ จริงๆ คือผมตามเธอไปนั่นแหละครับ

สาเหตุที่เธอต้องโทรมาก็เพราะผมดันฝันเห็นเพื่อนเธอคนนึงที่ผมเองก็สนิทด้วย จริงๆ น่าจะเรียกว่าเธอคนนั้นไว้ใจว่าผมจะไม่คิดอะไรกับเธอมากกว่าเพื่อนตะหาก เลยยอมให้ผมอยู่ใกล้ๆ เธอขนาดนั้น

สมัย ม.ปลาย ผมเลยเป็นไอ้จิ้งเหลนที่น่าอิจฉาที่สุดในโรงเรียนเพราะห้อมล้อมด้วยสาวสวย 7คน ไปไหนมาไหนกันแบบพวงก๋วยเตี๋ยวอยู่สองปี จริงๆ ถามว่าผมคิดอะไรกับเธอมั้ย ณ เวลานั้นคงไม่ได้คิด เพราะคิดไม่ได้มากกว่า มองตัวเองแล้วไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจผู้หญิงเลยนี่นา อยู่เจียมๆ ไปนั่นแหละดีแล้ว

เรื่องความฝันจริงๆ มันก็เกี่ยวกับอะไรที่ค้างคาใจอยู่นี่แหละ แต่จริงๆ ผมวางมันทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่รู้ข่าวว่า “เธอกำลังจะแต่งงาน” ทำไมอยู่ดีๆ ความรู้สึกที่ควรทิ้งไปตั้งห้าปีแล้วถึงกลับมาอยู่ในหัวผมอีกทีนึง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

ที่แน่ๆ ผมฝันถึงเพื่อนทีไร เป็นลางไม่ดีทุกที คราวนี้เลยต้องพยายามติดต่อกับพวกเธอหน่อยว่ามีอะไรเกิดขึ้นไหม

แต่เพราะไอ้ตัวผมเองที่ขาดการติดต่อเพื่อนไปเลย ทำให้ไม่รู้ว่าจะติดต่อกันแบบไหนนี่สิ ผมเลยต้องพึ่งเพื่อนสนิทอีกคนที่มี MSN มันอยู่ให้ช่วยไปสอบถามเพื่อนคนที่โทรมาให้ เพราะเธอเป็นคนติดต่อเพื่อนๆ ในห้องตลอด เรียกว่าถ้าตกข่าวเพื่อนคนไหนไปถามเอากับเธอได้เลย

อารามไม่ได้ติดต่อกันนาน เลยลืมไปเรื่องนึงว่า มันกับเธอไม่ได้ญาติดีอะไรกันเท่าไหร่ พอมันไปหาเธอที่บ้านเลยเจอการต้อนรับแบบ “ประทับใจอย่างแรง” กลับมา จนต้องออนไลน์มาเพื่อระบายกับผม และบอกว่าจัดการธุระมึงให้แล้วนะเว้ย ไอ้ผมเองก็ต้องขอโทษขอโพยมันไป เข้าใจมันหละ คนมันไม่กินเส้นทำยังไงก็คงคุยกันดีๆ ยากอยู่
กลับมาที่เธอโทรมาหาผม หลังจากนอนกลางวันเสร็จแล้ว ผมเลยรู้ว่าตอนนี้เธอเป็นแม่คนไปแล้ว ตามเพื่อนๆ ในกลุ่มที่เป็นแม่คนไปก่อนหน้าเยอะแยะ แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้ถามถึงเบอร์ติดต่อคนที่ผมฝันถึงอยู่ดี แต่สัญญากับเธอไว้แล้วว่าสิ้นปีจะกลับไปอุ้มหลาน

“เมื่อไหร่เธอจะแต่งงาน” เป็นคำถามที่เล่นเอาผมอึ้งไปพักนึงระหว่างที่คุยกับเธอ แต่มันไม่ได้แปลว่าเธอทำร้ายความรู้สึกผมหรอกนะ เพราะผมเองก็รู้สึกตัวเหมือนกันว่าทุกวันนี้ ตัวเองใช้ชีวิตต่างกับเพื่อนเก่าสมัยเด็กๆ เหมือนอยู่กันคนละโลก เป็นเพราะนิสัยส่วนตัว เป็นเพราะชะตาชีวิตด้วยกระมัง ผมถึงต้องห่างพวกเขามาอยู่เมืองหลวงที่ดูจะเข้ากับสันดานตัวผมเองมากกว่าบ้านที่เรียบง่ายแบบนั้น

ทุกวันนี้ ลึกๆ อิจฉาชีวิตพวกเขาเหมือนกันนะครับ ที่ไม่ต้องวกวนอะไรมาก มองไปข้างหน้าแล้วเดินไปเรื่อยๆ ได้เลย เจอปัญหาก็แก้ แล้วทำให้จบไปเป็นเรื่องๆ แต่ถ้าให้ผมไปใช้ชีวิตแบบนั้น ผมก็รับไม่ได้นะ ดูมันฝืนสันดานตัวเองพิกล จริงๆ คือพยายามแล้ว แต่รู้ตัวเลยกลับมาอยู่อยู่ในเมืองหลวงแบบทุกวันนี้นี่แหละ

ถือว่าชีวิตใครชีวิตมัน เค้าดีในแบบของเค้า ผมดีในแบบของผมจะดีกว่า สิ้นปีสงสัยต้องเพาะกล้ามแขนหน่อย เอาไว้อุ้มหลานเยอะๆ เป็นลุงแล้วนี่เรา

ชีวิตสุขสันต์ครับ

วันเสาร์, ตุลาคม 14, 2549

ถึงหัวหน้าที่รัก...

วันนี้ไปนั่งอ่านบล็อกหัวหน้าตัวเองมาครับ...

ปกติไม่เห็นเขาเอาเรื่องลูกน้องมาบ่นเท่าไหร่ แต่วันก่อนเขาเอามาเล่าแฮะ เรื่องของเรื่องคือหัวหน้าผมดันไปแสดงความรักปายจะกลืนกินกับพี่คนนึงที่เขาดูแลอยู่ ปัญหามันอยู่ที่ว่าอารมณ์คนไม่ยอมลงให้กันเนี่ยหล่ะ มันเลยจะ "แดก" กันจริงๆ เข้าให้ ผมไม่รู้นะว่าหัวหน้าผมเขามองสิ่งที่เขาทำลงไปในแง่ไหนบ้าง แต่อย่างน้อยเช้าวันนั้นบรรยากาศโคตรพ่อโคตรแม่กร่อยเลยครับ

ในบล็อกคุณหัวหน้าก็อุตส่าห์อธิบายอะไรลงไปเยอะพอสมควรหล่ะ แต่ในฐานะลูกน้องคนหนึ่ง ผมมองเห็นอะไรบางอย่างที่ดูน่าปวดหัว เพราะเท่าที่รู้ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเหตุผลจริงๆ มันเป็นเรื่องทัศนคติของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องมาทำงานด้วยกันนั่นแหละ

จริงๆ ความดีของหัวหน้าผมมีเยอะครับ ผมไปไหนมาไหนกับเขาก็ได้เห็นได้ยินบ่อยๆ เสียอยู่ตรงนี้เขาดันมาตายเอาตอนเป็นหัวหน้าคนในออฟฟิสเนี่ย ไม่อยากจะบอกว่าจริงๆ หัวหน้าผมไม่ได้มีปัญหากับแค่ลูกน้องที่เขาบ่นเท่านั้นหรอก จริงๆ มีกับทุกคนนั่นแหละ แต่หลายคนเลือกจะเฉยกับท่าทีที่เขาเป็นมากกว่า

ข้อเสียที่ผมอยากเตือนหัวหน้าตัวเองมันก็พอมีอยู่ ถึงผมไม่ใช่เทวดาที่ไหน แต่ผมว่าผมเป็นคนที่รับฟังเรื่องแย่ๆ ที่เขาทำกับคนอื่นมามากจนหลังๆ ผมชักเฉยๆ กับเรื่องแย่ๆ ของเขาแล้วนี่สิ
- หัวหน้าครับ หัวหน้าเป็นคนที่ "ประเมินคนได้ต่ำกว่าความเป็นจริง" มากนะครับ เรื่องบางเรื่อง หัวหน้าพูดเป็นมุขอำ แต่คนอื่นเขาฟังแล้วหัวหน้าเสียนะครับ ผมไม่รู้ว่าก่อนจะมาทำงานด้วยกัน หัวหน้าผ่านนรกขุมลึกจากที่ไหนมาบ้าง แต่พี่ๆ ในออฟฟิสเขามองว่า หัวหน้าผมคนนี้ถูกปลูกฝังอะไรแย่ๆ มาจากที่ทำงานเก่าพอสมควร เลยติดเป็นนิสัยให้หัวหน้าบางครั้งยิงมุขออกมามันไม่ขำ แถมยังทำให้ตัวเองดูแย่ด้วยนี่สิ


- หัวหน้าครับ ปัญหาในที่ทำงานส่วนหนึ่งมันมาจากหัวหน้า "อยากให้ทุกคนเป็นอย่างที่หัวหน้าคิด" นะครับ บางครั้งคนเขาทำงานกันไปเรื่อยๆ หัวหน้าก็มาทำให้วงแตกบ่อยๆ หัวหน้าไม่แปลกใจเหรอครับ ลูกน้องหัวหน้าเขาก็มีลูกน้อง ทำไมเขาคุมกันเองได้ แต่ตัวหัวหน้ากลับคุมลูกน้องตัวเองไม่ได้เลย หัวหน้านึกถึงเรื่องครูประจำชั้นดูนะครับ หัวหน้ามีลูกศิษย์อยู่ 10คน ถ้ามันมีปัญหาอยู่ 2คน แล้วอีก 8คนกู้ดเก๋ยูเรก้าเนี่ย คงพออนุมานได้ว่าหัวหน้าเราโอเคแล้ว 2คนนั้นรั่วเอง แต่ถ้ามันดีแค่คนเดียว ที่เหลือมีปัญหากันคนละนิดละหน่อย มีเยอะก็หลายคนเนี่ย หัวหน้าต้องประเมินตัวเองใหม่แล้วนะครับ เหมือนที่ครูต้องมานั่งคิดว่า "ตกลงนักเรียนโง่ทั้งชั้น หรือครูมันสอนไม่เป็นเอง"

- หัวหน้าต้องใจเย็นกว่านี้ครับ เรื่องบางเรื่องหัวหน้าเตือนคนอื่น หัวหน้าต้องย้อนกลับมานั่งเตือนตัวเองด้วย ไม่อยากให้ใครเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน หัวหน้าก็ต้องทำให้ดูก่อนครับ ไม่อยากให้ใครมานั่งเถียงกัน หัวหน้าก็ต้อง "รู้" ตัวก่อนว่าตอนนี้ของตัวเองกำลังขึ้น Please Clam Down... ก่อนจะคุยกันต่อ

- หัวหน้าต้องรู้จักไว้ใจคนอื่นครับ ไม่ได้แปลว่าปล่อยมันทำอะไรตามใจตัวเองนะครับ แต่อย่างน้อยถ้าเขาทำมาแล้วมันไม่โปรดในใจหัวหน้า ก็ควรส่งให้เจ้านายตัวจริงเป็นคนดูก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าเขาทำมาไม่ดี ไม่เจ๋งพอ เรื่องบางเรื่อง รสนิยมใคร รสนิยมมันครับ

- หัวหน้าต้องรู้จักปกป้องลูกน้องในเรื่องที่ควรปกป้องนะครับ เรื่องบางเรื่องหัวหน้าปล่อยปละละเลยไปนิด ร่วมเหยียบกระทืบซ้ำกับคนอื่นเขามากไปหน่อย ลูกน้องมันก็คนครับหัวหน้า ไม่โปรดกันยังไงก็ลูกน้อง ต้องดูแลให้ทั่วถึงทั้งเรื่องงาน และการหาเลี้ยงชีพครับ

จริงๆ ให้พิมพ์ต่อคงกลายเป็นร่ายพระไตรปิฏก เอาว่าหัวหน้ากลับไปนั่งตรองดูแล้วกันว่าผมบอกไปมันจริงไหม ถ้าไม่จริงก็ไม่ต้องใส่ใจครับ ผมอาจจะมองพลาดไปก็ได้

ผมแค่อยากจะบอกหัวหน้านั่นแหละว่า "หัวหน้าระวังเรื่องความรู้สึกคน" หน่อยนะครับ "ยิ่งสูงมันยิ่งหนาว" เน่อ...

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 05, 2549

13 Beloved


เพราะมนุษย์มีความอ่อนแออยู่ในใจกันทุกคน มนุษย์จึงถูกหลอกล่อด้วยกิเลสได้ทั้งนั้น แตกต่างกันตามจริตสันดานพื้นเดิมที่ถูกปลูกฝังต่างกันมา... คุณค่าของมนุษย์ที่แท้จริง บางครั้งก็วัดได้ด้วยการลองดูว่า ใครจะอดทนต่อกิเลสที่ยั่วเย้าได้มาก และนานเท่าไหร่

13 คือภาพยนตร์ที่เอาความคิดที่ว่ามาใช้อย่างชัดเจน เมื่อความเป็นคนถูกบีบคั้นด้วยสภาพเศรษฐกิจรุมเร้า ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนขี้แพ้ในสังคม ผู้ชายคนหนึ่งจึงยอมถลำตัวเข้าไปเล่นเกมอันตราย เพื่อแลกกับเงินก้อนโตที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเขาได้ถ้าหากชนะมัน

บทภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากการ์ตูนสั้นของ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ (ซึ่งเป็นผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย) ชื่อ 13 Quizshow ในฉบับการ์ตูน ประเด็นหลักคือการเสียดสี และล้อเล่นกับความโลภของคนเป็นหลัก แต่ในฉบับภาพยนตร์ ประเด็นถูกตีความให้กว้างขึ้น จนได้ตอนจบที่รุนแรงยิ่งกว่าในฉบับการ์ตูน และสามารถแตกเรื่องราวออกมาเป็น 12Begin ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวก่อนหน้า 13 และ 14 ที่เป็นเรื่องต่อไป ซึ่งถือเป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด

ด้วยฝีมือการกำกับของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งมีผลงานก่อนหน้า เป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญอย่าง คน ผี ปีศาจ มาในเรื่องนี้ เราได้เห็นพัฒนาการ และกลวิธีเล่าเรื่องที่แพรวพราวมากขึ้น จุดเด่นเรื่องความละเอียดในการให้มิติกับตัวละครก็ยังไม่ตกหล่นไปไหน บวกกับเนื้อเรื่องที่เล่นกับความรู้สึกของตัวละคร และคนดูอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้ตัวภาพยนตร์โยเฉพาะบทมีความแข็งแรงเหนือกว่ามาตรฐานหนังระทึกขวัญ สยองขวัญแบบไทยๆ เป็นอย่างมาก

แต่จุดเด่นที่เห็นชัด และน่ายกย่องมากที่สุด คือพัฒนาการการแสดงของ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ (น้อย) ในภูชิต พนักงานขายเครื่องดนตรีที่กำลังตกอับสุดขีด ถูกไล่ออกจากงาน รถโดนยึด เงินไม่มีเก็บ แถมแม่ยังขอยืมเงินใช้อีก ชีวิตที่น่าจะตายๆ จบปัญหาไปเสีย ก็มีเสียงโทรศัพท์ส่งข้อความจากอีกปลายสายว่า เขาถูกเลือกให้เล่นเกม 13 ถ้าหากตกลงเล่น และชนะ เขาจะได้เงินรางวัล 100ล้านบาท หากแพ้ เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย

สิ่งที่เห็นได้ชัดในเรื่องก็คือการเปลี่ยนแปลงจากคนดีขี้แพ้ ที่เราพบเห็นได้ในสังคมเมืองปกติ กลายเป็นคนเลวที่ทำทุกอย่งเพื่อให้ได้เงิน ด้วยความสามารถของน้อย ผมมองไม่เห็นว่าจะหาใครมาเล่นแทนเขาได้ ทั้งน้ำเสียง การแสดงทางร่างกาย แววตา เขาทำได้อย่างกลมกลืนไปกับเวลาในเรื่องอย่างเหมาะเจาะ ไม่มีมาก หรือน้อยจนเกินไป ถ้าหากนับจำนวนภาพยนตร์ที่เล่นมาก่อนหน้าเพียงสองเรื่อง คือ หัวใจทรนง กับทวารยังหวานอยู่ น่าสนใจว่า นักร้องคนดังคนนี้ น่าจะเพิ่มที่ทางของตัวเองในฐานะนักแสดงมืออาชีพ ที่เหมาะจะเล่นบทที่มีความหลากหลายในตัวเองสูง ซึ่งหานักแสดงในเมืองไทยทุกวันนี้เล่นได้ยากเย็นจริงๆ

ถ้าหากสุดสัปดาห์นี้คุณไม่รู้จะไปเที่ยวไหน เบื่อภาพยนตร์ตลก ภาพยนตร์อนิเมชั่นสีลูกกวาด ผมขอแนะนำ 13 ให้คุณรับชม ขอรับประกันว่าคุณจะไม่มีทางบ่นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ห่วยแน่นอน แต่คุณอาจจะสะอึกกับตอนจบที่ดูเหมือนไม่จบของภาพยนตร์ไปเลยก็ได้

ส่วนผมเอง ตอนนี้ได้แต่ 14 ว่าเมื่อไหร่จะเริ่มถ่ายทำเสียที อยากรู้ว่าบทสรุปเกมนรกเกมนี้ สุดท้ายใครจะเป็นคนชนะตัวจริง...

วันอาทิตย์, กันยายน 17, 2549

สารภาพครับ

มาสารภาพไว้ก่อนเลยว่า...

ไม่รู้จะเอาบล็อกอันนี้ไว้เขียนเรื่องอะไรดีตอนนี้...

ดูดัดจริตเนอะ แต่บล็อกนี้จะว่าไป ผมได้มันมาตั้งแต่เปิดใหม่ๆ

ตอนแรกตั้งใจเอาไว้เขียนเรื่องงานนิตยสารที่ทำ แต่เขียนได้แต่สองตอน

ก็ต้องทิ้งมันไว้ยังงั้นด้วยเหตุผลการเมืองในที่ทำงาน :p

ช่างแม่งเถอะครับ เอาเป็นว่าผมยังไม่มีเรื่องจะเขียนในนี้ ตอนนี้

ใครเปิดมาเจอก็ขออภัยด้วยแล้วกัน

แต่รู้สึกลึกๆ ว่าอีกไม่นาน ผมคงมีอะไรเขียนในนี้

แต่เมื่อไหร่ ไม่อยากสัญญา...