วันอังคาร, ตุลาคม 31, 2549
เก็บตกงานหนังสือ (1)
กะไว้ว่า "จะไม่ไปแล้วงานหนังสือฯ" เพราะไปทีไร เสียเงิน เหนื่อย หงุดหงิด กลับมาด้วยแทบทุกครั้ง เหนื่อยกับการเดินทางที่ถึงใกล้ที่อยู่นิดเดียว แต่ต้องฝ่าการจราจรที่เข้าขั้นจลาจลไปทุกครั้ง หงุดหงิดกับการต้องระวังว่าจะไปเหยียบเท้าใคร รึบางครั้งเป็นขาคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงพื้นในงาน เพราะนึกจะนั่งตรงไหนก็นั่งกันเลยก็มีเหมือนกัน จะไปว่าคนที่นั่งก็ไม่ได้เพราะเก้าอี้ให้นั่งในงานก็แสนน้อยนิด จะให้ยืนก็เบียดเสียดกับคนอื่น นั่งลงไปอากาศก็แย่เหมือนกัน ส่วนเรื่องเสียเงินมันกลายเป็นปัจจัยหลักของคราวนี้ เพราะเพิ่งจ่ายค่าโน้ตบุ๊กเครื่องนี้ไป แทบหมดเงินเก็บไปแล้ว จะให้ไปเสียเงินกับหนังสืออีกมันกระไรอยู่...
แต่ผมต้องไปอีกจนได้ พร้อมกับเสียเงินไปอีกพันกว่าบาท (ชีวิต...) เลยเอาหนังสือที่จ่ายเงินไปเนี่ยแหละ มาเขียนเชียร์ลงบล็อกหน่อยดีกว่าเล่มแรกที่อยากเขียนถึงคือ "ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้" ของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ครับ
ถามว่าเป็น บัณฑิต อึ้งรังษี คือใคร?เขาคือผู้ชายคนเดียวในประเทศไทย (เท่าที่ผมรู้จักตอนนี้) ที่สามารถเรียกตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า มีอาชีพเป็น "วาทยกร"
"วาทยกร" คือคนที่ถือไม้บาตอง ยืนอยู่หน้าวงออเคสตร้า ทำท่าบ้าพลังที่หลายคนเคยเห็นในทีวีนั่นแหละครับ สิ่งที่เขาเอามาเขียนลงหนังสือคำแนวคิดแบบรวบยอดของเขา ที่ยึดมั่นและเดินตามจนประสบความสำเร็จในฐานะวาทยกรระดับโลกชายคนนี้เริ่มต้นฝันว่าจะใช้ดนตรีที่ตัวเองรักเป็นอาชีพเลี้ยงตัว ในประเทศไทยที่ดนตรียังมีฐานะและคุณค่าไม่ต่างจาก "เครื่องสร้างบันเทิงแบบบ้านๆ" ประเทศที่นักเปียโนฝีมือดีต้องหน้าตาดีด้วย ไม่อย่างนั้นก็ขายไม่ออก ประเทศที่นักร้องเสียโซปราโน่ และเทอร์เนอร์ มีไว้แหกปากร้องตอนงานพิธีอะไรก็ตามที่มีฝรั่งหัวทองมาเยอะๆ แล้วอยากให้มันดูมีชาติตระกูลขึ้นมาบ้าง
ด้วยสภาพแต้มติดลบตะบันราดแบบนี้ คุณบัณฑิต ยังอุตสาหะไปเรียนดนตรีพื้นฐาน ส่งตัวเองไปเรียนด้านวาทยกรที่อเมริกา จนได้งานที่นั่น แถมประสบความสำเร็จชนะการแข่งขันของ มาเอสโตรมาเซล วิลาร์ จนได้ฝึกงานกับมาเซลแบบใกล้ชิดถึงสามปีจากติดลบไปถึงร้อยเนี่ย น่าภาคภูมิใจนะครับ เลยเป็นหนังสือที่ต้องซื้อมาอ่านให้ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่เอือมกับหนังสือแบบ How To จะแย่อยู่แล้ว
แต่เล่มนี้ ละเว้นไว้ และอยากให้หลายคนอ่านมัน เพราะเป็นหนังสือที่ให้กำลังคนทียังเคว้งคว้างได้ดีมากๆ ครับเพราะผมเชื่อเหมือนคุณบัญฑิตอย่างว่า
"As a man think, he is""หากคนคิดจะเป็นอะไร เขาจะเป็นอย่างนั้น"
เล่มหน้า จะเขียนถึงนิยายกำลังภายในเล่มล่าสุดที่อ่าน "อรหันต์ทองคำคนที่แปด" แปลโดย โจอี้ ตาฟาง
วันพุธ, ตุลาคม 25, 2549
หาแรงบันดาลใจ
ช่วงนี้มีอาการป่วยงอมแงมนิดหน่อยครับ เป็นไข้อากาศเปลี่ยนหรือว่าเป็นไข้อื่นไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ตัวร้อน หัวหมุนๆ เบลอๆ มาสองสามวันแล้ว และคาดว่าน่าจะเป็นต่อไปอีกสักพัก
---------------------------------------------------
วันก่อนดูหนังช่อง Star Movie เรื่อง Shadow Dancer หนังเน่าได้จิตมาก ที่ทนดูได้เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเขียนนี่แหละ พระเอกเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้ไปตามเอาต้นฉบับใหม่จากนักเขียนนามอุโฆษที่หยุดเขียนงานไปนานกว่ายี่สิบปี ปัญหาที่พระเอกของเราเจอคือ การไม่มีแรงบันดาลใจที่จะเขียนงาน เป็นปัญหาหลักของนักเขียนฉบับเริ่มต้นที่ไม่รู้ว่าจะหยิบอะไรมาเขียนแล้วงานออกมาโดดเด้ง เป็นที่น่าสนใจของคนอ่าน ส่วนนักเขียนใหญ่เจอปัญหาตรงกันข้ามครับ ที่หยุดเขียนไปยี่สิบกว่าปีไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะเขียน แต่เขียนไม่ได้เพราะแรงบันดาลใจหลักคือภรรยาสุดสวาท ขาดใจดิ้น ดันมาสิ้นลมจากไปแบบปัจจุบันทันด่วน ทิ้งลูกสาวสวยๆ สามคนไว้ให้พ่อเลี้ยง (และรอพระเอกมาหม้อ) การเล่าเรื่องของผู้กำกับถือว่าโอเคนะครับ พยายามใช้วิธีแบบ Absurd และ Surreal มาเล่นกับจินตนาการของพระเอกระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่กับคนในเมืองเล็กๆ ของอิตาลี แต่ที่น่าเขกมะเหงกลงกระบาลคือตอนจบมันช่างน้ำเน่าแบบ "แล้วสองเราก็ครองรักชั่วนิรันดร์" อะไรทำนองนั้น เรียกว่าเนื้อเรื่องและปมที่ปูมาทั้งเรื่องเล่นมาทิ้งเอาตอนจบเนี่ยหล่ะ สรุปคือ มันจะทำหนังมาตั้งยาวทำไมกัน เล่นมาทำตอนจบแบบนั้นเนี่ย เหอ...
---------------------------------------------------
จะว่าไปไอ้อาการเขียนอะไรออก (แบบเอาไปหาเงินกับชาวบ้านได้) ผมจบลงตั้งแต่ตอนมีเรื่องกับไอ้ฝรั่งที่ถนนวิทยุแล้วหละครับ เพราะพอมาทำงานประจำ ภารกิจที่ทำบวกกับการงานแทบไม่เหลือเวลาและรายรับพอไปหาเวลาทอดหุ่ยหาแรงบันดาลใจมาเขียนงานเอาซะเลย
บางทีผมเองอาจจะพลาดในแง่ไม่เคยเรียกร้องอะไรเพื่อตัวเองนักก็ได้ ชีวิตเลยอลหม่านแบบทุกวันนี้ เอาว่าเดี๋ยวคงได้เวลาขยับทำอะไรบ้าง ก่อนจะรากงอก แต่ใจเฉาอยู่ในออฟฟิสไปเงียบๆ
ว่าแล้วยังไม่ได้ซื้อหนังสือใหม่เลยแฮะ งานเทศกาลหนังสือก็ใกล้จบแล้วด้วย ต้องไปหามาซักเล่มดีกว่า แต่ก่อนอื่น... ขอเวลารักษาตัวก่อนนะครับ
---------------------------------------------------
วันก่อนดูหนังช่อง Star Movie เรื่อง Shadow Dancer หนังเน่าได้จิตมาก ที่ทนดูได้เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเขียนนี่แหละ พระเอกเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้ไปตามเอาต้นฉบับใหม่จากนักเขียนนามอุโฆษที่หยุดเขียนงานไปนานกว่ายี่สิบปี ปัญหาที่พระเอกของเราเจอคือ การไม่มีแรงบันดาลใจที่จะเขียนงาน เป็นปัญหาหลักของนักเขียนฉบับเริ่มต้นที่ไม่รู้ว่าจะหยิบอะไรมาเขียนแล้วงานออกมาโดดเด้ง เป็นที่น่าสนใจของคนอ่าน ส่วนนักเขียนใหญ่เจอปัญหาตรงกันข้ามครับ ที่หยุดเขียนไปยี่สิบกว่าปีไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะเขียน แต่เขียนไม่ได้เพราะแรงบันดาลใจหลักคือภรรยาสุดสวาท ขาดใจดิ้น ดันมาสิ้นลมจากไปแบบปัจจุบันทันด่วน ทิ้งลูกสาวสวยๆ สามคนไว้ให้พ่อเลี้ยง (และรอพระเอกมาหม้อ) การเล่าเรื่องของผู้กำกับถือว่าโอเคนะครับ พยายามใช้วิธีแบบ Absurd และ Surreal มาเล่นกับจินตนาการของพระเอกระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่กับคนในเมืองเล็กๆ ของอิตาลี แต่ที่น่าเขกมะเหงกลงกระบาลคือตอนจบมันช่างน้ำเน่าแบบ "แล้วสองเราก็ครองรักชั่วนิรันดร์" อะไรทำนองนั้น เรียกว่าเนื้อเรื่องและปมที่ปูมาทั้งเรื่องเล่นมาทิ้งเอาตอนจบเนี่ยหล่ะ สรุปคือ มันจะทำหนังมาตั้งยาวทำไมกัน เล่นมาทำตอนจบแบบนั้นเนี่ย เหอ...
---------------------------------------------------
จะว่าไปไอ้อาการเขียนอะไรออก (แบบเอาไปหาเงินกับชาวบ้านได้) ผมจบลงตั้งแต่ตอนมีเรื่องกับไอ้ฝรั่งที่ถนนวิทยุแล้วหละครับ เพราะพอมาทำงานประจำ ภารกิจที่ทำบวกกับการงานแทบไม่เหลือเวลาและรายรับพอไปหาเวลาทอดหุ่ยหาแรงบันดาลใจมาเขียนงานเอาซะเลย
บางทีผมเองอาจจะพลาดในแง่ไม่เคยเรียกร้องอะไรเพื่อตัวเองนักก็ได้ ชีวิตเลยอลหม่านแบบทุกวันนี้ เอาว่าเดี๋ยวคงได้เวลาขยับทำอะไรบ้าง ก่อนจะรากงอก แต่ใจเฉาอยู่ในออฟฟิสไปเงียบๆ
ว่าแล้วยังไม่ได้ซื้อหนังสือใหม่เลยแฮะ งานเทศกาลหนังสือก็ใกล้จบแล้วด้วย ต้องไปหามาซักเล่มดีกว่า แต่ก่อนอื่น... ขอเวลารักษาตัวก่อนนะครับ
วันศุกร์, ตุลาคม 20, 2549
คำถามเสียดใจ
วันนี้เพื่อนโทรมาหาครับ หลังจากไม่ได้ติดต่อกันเลยสองสามปี เธอเป็นเพื่อนสนิทผมตั้งแต่สมัยมัธยมปลายเรียนมาหวิทยาลัยก็ยังอุตส่าห์เรียนที่เดียวกันถึงจะคนละคณะก็เหอะ จริงๆ คือผมตามเธอไปนั่นแหละครับ
สาเหตุที่เธอต้องโทรมาก็เพราะผมดันฝันเห็นเพื่อนเธอคนนึงที่ผมเองก็สนิทด้วย จริงๆ น่าจะเรียกว่าเธอคนนั้นไว้ใจว่าผมจะไม่คิดอะไรกับเธอมากกว่าเพื่อนตะหาก เลยยอมให้ผมอยู่ใกล้ๆ เธอขนาดนั้น
สมัย ม.ปลาย ผมเลยเป็นไอ้จิ้งเหลนที่น่าอิจฉาที่สุดในโรงเรียนเพราะห้อมล้อมด้วยสาวสวย 7คน ไปไหนมาไหนกันแบบพวงก๋วยเตี๋ยวอยู่สองปี จริงๆ ถามว่าผมคิดอะไรกับเธอมั้ย ณ เวลานั้นคงไม่ได้คิด เพราะคิดไม่ได้มากกว่า มองตัวเองแล้วไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจผู้หญิงเลยนี่นา อยู่เจียมๆ ไปนั่นแหละดีแล้ว
เรื่องความฝันจริงๆ มันก็เกี่ยวกับอะไรที่ค้างคาใจอยู่นี่แหละ แต่จริงๆ ผมวางมันทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่รู้ข่าวว่า “เธอกำลังจะแต่งงาน” ทำไมอยู่ดีๆ ความรู้สึกที่ควรทิ้งไปตั้งห้าปีแล้วถึงกลับมาอยู่ในหัวผมอีกทีนึง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
ที่แน่ๆ ผมฝันถึงเพื่อนทีไร เป็นลางไม่ดีทุกที คราวนี้เลยต้องพยายามติดต่อกับพวกเธอหน่อยว่ามีอะไรเกิดขึ้นไหม
แต่เพราะไอ้ตัวผมเองที่ขาดการติดต่อเพื่อนไปเลย ทำให้ไม่รู้ว่าจะติดต่อกันแบบไหนนี่สิ ผมเลยต้องพึ่งเพื่อนสนิทอีกคนที่มี MSN มันอยู่ให้ช่วยไปสอบถามเพื่อนคนที่โทรมาให้ เพราะเธอเป็นคนติดต่อเพื่อนๆ ในห้องตลอด เรียกว่าถ้าตกข่าวเพื่อนคนไหนไปถามเอากับเธอได้เลย
อารามไม่ได้ติดต่อกันนาน เลยลืมไปเรื่องนึงว่า มันกับเธอไม่ได้ญาติดีอะไรกันเท่าไหร่ พอมันไปหาเธอที่บ้านเลยเจอการต้อนรับแบบ “ประทับใจอย่างแรง” กลับมา จนต้องออนไลน์มาเพื่อระบายกับผม และบอกว่าจัดการธุระมึงให้แล้วนะเว้ย ไอ้ผมเองก็ต้องขอโทษขอโพยมันไป เข้าใจมันหละ คนมันไม่กินเส้นทำยังไงก็คงคุยกันดีๆ ยากอยู่
กลับมาที่เธอโทรมาหาผม หลังจากนอนกลางวันเสร็จแล้ว ผมเลยรู้ว่าตอนนี้เธอเป็นแม่คนไปแล้ว ตามเพื่อนๆ ในกลุ่มที่เป็นแม่คนไปก่อนหน้าเยอะแยะ แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้ถามถึงเบอร์ติดต่อคนที่ผมฝันถึงอยู่ดี แต่สัญญากับเธอไว้แล้วว่าสิ้นปีจะกลับไปอุ้มหลาน
“เมื่อไหร่เธอจะแต่งงาน” เป็นคำถามที่เล่นเอาผมอึ้งไปพักนึงระหว่างที่คุยกับเธอ แต่มันไม่ได้แปลว่าเธอทำร้ายความรู้สึกผมหรอกนะ เพราะผมเองก็รู้สึกตัวเหมือนกันว่าทุกวันนี้ ตัวเองใช้ชีวิตต่างกับเพื่อนเก่าสมัยเด็กๆ เหมือนอยู่กันคนละโลก เป็นเพราะนิสัยส่วนตัว เป็นเพราะชะตาชีวิตด้วยกระมัง ผมถึงต้องห่างพวกเขามาอยู่เมืองหลวงที่ดูจะเข้ากับสันดานตัวผมเองมากกว่าบ้านที่เรียบง่ายแบบนั้น
ทุกวันนี้ ลึกๆ อิจฉาชีวิตพวกเขาเหมือนกันนะครับ ที่ไม่ต้องวกวนอะไรมาก มองไปข้างหน้าแล้วเดินไปเรื่อยๆ ได้เลย เจอปัญหาก็แก้ แล้วทำให้จบไปเป็นเรื่องๆ แต่ถ้าให้ผมไปใช้ชีวิตแบบนั้น ผมก็รับไม่ได้นะ ดูมันฝืนสันดานตัวเองพิกล จริงๆ คือพยายามแล้ว แต่รู้ตัวเลยกลับมาอยู่อยู่ในเมืองหลวงแบบทุกวันนี้นี่แหละ
ถือว่าชีวิตใครชีวิตมัน เค้าดีในแบบของเค้า ผมดีในแบบของผมจะดีกว่า สิ้นปีสงสัยต้องเพาะกล้ามแขนหน่อย เอาไว้อุ้มหลานเยอะๆ เป็นลุงแล้วนี่เรา
ชีวิตสุขสันต์ครับ
สาเหตุที่เธอต้องโทรมาก็เพราะผมดันฝันเห็นเพื่อนเธอคนนึงที่ผมเองก็สนิทด้วย จริงๆ น่าจะเรียกว่าเธอคนนั้นไว้ใจว่าผมจะไม่คิดอะไรกับเธอมากกว่าเพื่อนตะหาก เลยยอมให้ผมอยู่ใกล้ๆ เธอขนาดนั้น
สมัย ม.ปลาย ผมเลยเป็นไอ้จิ้งเหลนที่น่าอิจฉาที่สุดในโรงเรียนเพราะห้อมล้อมด้วยสาวสวย 7คน ไปไหนมาไหนกันแบบพวงก๋วยเตี๋ยวอยู่สองปี จริงๆ ถามว่าผมคิดอะไรกับเธอมั้ย ณ เวลานั้นคงไม่ได้คิด เพราะคิดไม่ได้มากกว่า มองตัวเองแล้วไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจผู้หญิงเลยนี่นา อยู่เจียมๆ ไปนั่นแหละดีแล้ว
เรื่องความฝันจริงๆ มันก็เกี่ยวกับอะไรที่ค้างคาใจอยู่นี่แหละ แต่จริงๆ ผมวางมันทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่รู้ข่าวว่า “เธอกำลังจะแต่งงาน” ทำไมอยู่ดีๆ ความรู้สึกที่ควรทิ้งไปตั้งห้าปีแล้วถึงกลับมาอยู่ในหัวผมอีกทีนึง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
ที่แน่ๆ ผมฝันถึงเพื่อนทีไร เป็นลางไม่ดีทุกที คราวนี้เลยต้องพยายามติดต่อกับพวกเธอหน่อยว่ามีอะไรเกิดขึ้นไหม
แต่เพราะไอ้ตัวผมเองที่ขาดการติดต่อเพื่อนไปเลย ทำให้ไม่รู้ว่าจะติดต่อกันแบบไหนนี่สิ ผมเลยต้องพึ่งเพื่อนสนิทอีกคนที่มี MSN มันอยู่ให้ช่วยไปสอบถามเพื่อนคนที่โทรมาให้ เพราะเธอเป็นคนติดต่อเพื่อนๆ ในห้องตลอด เรียกว่าถ้าตกข่าวเพื่อนคนไหนไปถามเอากับเธอได้เลย
อารามไม่ได้ติดต่อกันนาน เลยลืมไปเรื่องนึงว่า มันกับเธอไม่ได้ญาติดีอะไรกันเท่าไหร่ พอมันไปหาเธอที่บ้านเลยเจอการต้อนรับแบบ “ประทับใจอย่างแรง” กลับมา จนต้องออนไลน์มาเพื่อระบายกับผม และบอกว่าจัดการธุระมึงให้แล้วนะเว้ย ไอ้ผมเองก็ต้องขอโทษขอโพยมันไป เข้าใจมันหละ คนมันไม่กินเส้นทำยังไงก็คงคุยกันดีๆ ยากอยู่
กลับมาที่เธอโทรมาหาผม หลังจากนอนกลางวันเสร็จแล้ว ผมเลยรู้ว่าตอนนี้เธอเป็นแม่คนไปแล้ว ตามเพื่อนๆ ในกลุ่มที่เป็นแม่คนไปก่อนหน้าเยอะแยะ แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้ถามถึงเบอร์ติดต่อคนที่ผมฝันถึงอยู่ดี แต่สัญญากับเธอไว้แล้วว่าสิ้นปีจะกลับไปอุ้มหลาน
“เมื่อไหร่เธอจะแต่งงาน” เป็นคำถามที่เล่นเอาผมอึ้งไปพักนึงระหว่างที่คุยกับเธอ แต่มันไม่ได้แปลว่าเธอทำร้ายความรู้สึกผมหรอกนะ เพราะผมเองก็รู้สึกตัวเหมือนกันว่าทุกวันนี้ ตัวเองใช้ชีวิตต่างกับเพื่อนเก่าสมัยเด็กๆ เหมือนอยู่กันคนละโลก เป็นเพราะนิสัยส่วนตัว เป็นเพราะชะตาชีวิตด้วยกระมัง ผมถึงต้องห่างพวกเขามาอยู่เมืองหลวงที่ดูจะเข้ากับสันดานตัวผมเองมากกว่าบ้านที่เรียบง่ายแบบนั้น
ทุกวันนี้ ลึกๆ อิจฉาชีวิตพวกเขาเหมือนกันนะครับ ที่ไม่ต้องวกวนอะไรมาก มองไปข้างหน้าแล้วเดินไปเรื่อยๆ ได้เลย เจอปัญหาก็แก้ แล้วทำให้จบไปเป็นเรื่องๆ แต่ถ้าให้ผมไปใช้ชีวิตแบบนั้น ผมก็รับไม่ได้นะ ดูมันฝืนสันดานตัวเองพิกล จริงๆ คือพยายามแล้ว แต่รู้ตัวเลยกลับมาอยู่อยู่ในเมืองหลวงแบบทุกวันนี้นี่แหละ
ถือว่าชีวิตใครชีวิตมัน เค้าดีในแบบของเค้า ผมดีในแบบของผมจะดีกว่า สิ้นปีสงสัยต้องเพาะกล้ามแขนหน่อย เอาไว้อุ้มหลานเยอะๆ เป็นลุงแล้วนี่เรา
ชีวิตสุขสันต์ครับ
วันเสาร์, ตุลาคม 14, 2549
ถึงหัวหน้าที่รัก...
วันนี้ไปนั่งอ่านบล็อกหัวหน้าตัวเองมาครับ...
ปกติไม่เห็นเขาเอาเรื่องลูกน้องมาบ่นเท่าไหร่ แต่วันก่อนเขาเอามาเล่าแฮะ เรื่องของเรื่องคือหัวหน้าผมดันไปแสดงความรักปายจะกลืนกินกับพี่คนนึงที่เขาดูแลอยู่ ปัญหามันอยู่ที่ว่าอารมณ์คนไม่ยอมลงให้กันเนี่ยหล่ะ มันเลยจะ "แดก" กันจริงๆ เข้าให้ ผมไม่รู้นะว่าหัวหน้าผมเขามองสิ่งที่เขาทำลงไปในแง่ไหนบ้าง แต่อย่างน้อยเช้าวันนั้นบรรยากาศโคตรพ่อโคตรแม่กร่อยเลยครับ
ในบล็อกคุณหัวหน้าก็อุตส่าห์อธิบายอะไรลงไปเยอะพอสมควรหล่ะ แต่ในฐานะลูกน้องคนหนึ่ง ผมมองเห็นอะไรบางอย่างที่ดูน่าปวดหัว เพราะเท่าที่รู้ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเหตุผลจริงๆ มันเป็นเรื่องทัศนคติของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องมาทำงานด้วยกันนั่นแหละ
จริงๆ ความดีของหัวหน้าผมมีเยอะครับ ผมไปไหนมาไหนกับเขาก็ได้เห็นได้ยินบ่อยๆ เสียอยู่ตรงนี้เขาดันมาตายเอาตอนเป็นหัวหน้าคนในออฟฟิสเนี่ย ไม่อยากจะบอกว่าจริงๆ หัวหน้าผมไม่ได้มีปัญหากับแค่ลูกน้องที่เขาบ่นเท่านั้นหรอก จริงๆ มีกับทุกคนนั่นแหละ แต่หลายคนเลือกจะเฉยกับท่าทีที่เขาเป็นมากกว่า
ข้อเสียที่ผมอยากเตือนหัวหน้าตัวเองมันก็พอมีอยู่ ถึงผมไม่ใช่เทวดาที่ไหน แต่ผมว่าผมเป็นคนที่รับฟังเรื่องแย่ๆ ที่เขาทำกับคนอื่นมามากจนหลังๆ ผมชักเฉยๆ กับเรื่องแย่ๆ ของเขาแล้วนี่สิ
- หัวหน้าครับ หัวหน้าเป็นคนที่ "ประเมินคนได้ต่ำกว่าความเป็นจริง" มากนะครับ เรื่องบางเรื่อง หัวหน้าพูดเป็นมุขอำ แต่คนอื่นเขาฟังแล้วหัวหน้าเสียนะครับ ผมไม่รู้ว่าก่อนจะมาทำงานด้วยกัน หัวหน้าผ่านนรกขุมลึกจากที่ไหนมาบ้าง แต่พี่ๆ ในออฟฟิสเขามองว่า หัวหน้าผมคนนี้ถูกปลูกฝังอะไรแย่ๆ มาจากที่ทำงานเก่าพอสมควร เลยติดเป็นนิสัยให้หัวหน้าบางครั้งยิงมุขออกมามันไม่ขำ แถมยังทำให้ตัวเองดูแย่ด้วยนี่สิ
- หัวหน้าครับ ปัญหาในที่ทำงานส่วนหนึ่งมันมาจากหัวหน้า "อยากให้ทุกคนเป็นอย่างที่หัวหน้าคิด" นะครับ บางครั้งคนเขาทำงานกันไปเรื่อยๆ หัวหน้าก็มาทำให้วงแตกบ่อยๆ หัวหน้าไม่แปลกใจเหรอครับ ลูกน้องหัวหน้าเขาก็มีลูกน้อง ทำไมเขาคุมกันเองได้ แต่ตัวหัวหน้ากลับคุมลูกน้องตัวเองไม่ได้เลย หัวหน้านึกถึงเรื่องครูประจำชั้นดูนะครับ หัวหน้ามีลูกศิษย์อยู่ 10คน ถ้ามันมีปัญหาอยู่ 2คน แล้วอีก 8คนกู้ดเก๋ยูเรก้าเนี่ย คงพออนุมานได้ว่าหัวหน้าเราโอเคแล้ว 2คนนั้นรั่วเอง แต่ถ้ามันดีแค่คนเดียว ที่เหลือมีปัญหากันคนละนิดละหน่อย มีเยอะก็หลายคนเนี่ย หัวหน้าต้องประเมินตัวเองใหม่แล้วนะครับ เหมือนที่ครูต้องมานั่งคิดว่า "ตกลงนักเรียนโง่ทั้งชั้น หรือครูมันสอนไม่เป็นเอง"
- หัวหน้าต้องใจเย็นกว่านี้ครับ เรื่องบางเรื่องหัวหน้าเตือนคนอื่น หัวหน้าต้องย้อนกลับมานั่งเตือนตัวเองด้วย ไม่อยากให้ใครเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน หัวหน้าก็ต้องทำให้ดูก่อนครับ ไม่อยากให้ใครมานั่งเถียงกัน หัวหน้าก็ต้อง "รู้" ตัวก่อนว่าตอนนี้ของตัวเองกำลังขึ้น Please Clam Down... ก่อนจะคุยกันต่อ
- หัวหน้าต้องรู้จักไว้ใจคนอื่นครับ ไม่ได้แปลว่าปล่อยมันทำอะไรตามใจตัวเองนะครับ แต่อย่างน้อยถ้าเขาทำมาแล้วมันไม่โปรดในใจหัวหน้า ก็ควรส่งให้เจ้านายตัวจริงเป็นคนดูก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าเขาทำมาไม่ดี ไม่เจ๋งพอ เรื่องบางเรื่อง รสนิยมใคร รสนิยมมันครับ
- หัวหน้าต้องรู้จักปกป้องลูกน้องในเรื่องที่ควรปกป้องนะครับ เรื่องบางเรื่องหัวหน้าปล่อยปละละเลยไปนิด ร่วมเหยียบกระทืบซ้ำกับคนอื่นเขามากไปหน่อย ลูกน้องมันก็คนครับหัวหน้า ไม่โปรดกันยังไงก็ลูกน้อง ต้องดูแลให้ทั่วถึงทั้งเรื่องงาน และการหาเลี้ยงชีพครับ
จริงๆ ให้พิมพ์ต่อคงกลายเป็นร่ายพระไตรปิฏก เอาว่าหัวหน้ากลับไปนั่งตรองดูแล้วกันว่าผมบอกไปมันจริงไหม ถ้าไม่จริงก็ไม่ต้องใส่ใจครับ ผมอาจจะมองพลาดไปก็ได้
ผมแค่อยากจะบอกหัวหน้านั่นแหละว่า "หัวหน้าระวังเรื่องความรู้สึกคน" หน่อยนะครับ "ยิ่งสูงมันยิ่งหนาว" เน่อ...
ปกติไม่เห็นเขาเอาเรื่องลูกน้องมาบ่นเท่าไหร่ แต่วันก่อนเขาเอามาเล่าแฮะ เรื่องของเรื่องคือหัวหน้าผมดันไปแสดงความรักปายจะกลืนกินกับพี่คนนึงที่เขาดูแลอยู่ ปัญหามันอยู่ที่ว่าอารมณ์คนไม่ยอมลงให้กันเนี่ยหล่ะ มันเลยจะ "แดก" กันจริงๆ เข้าให้ ผมไม่รู้นะว่าหัวหน้าผมเขามองสิ่งที่เขาทำลงไปในแง่ไหนบ้าง แต่อย่างน้อยเช้าวันนั้นบรรยากาศโคตรพ่อโคตรแม่กร่อยเลยครับ
ในบล็อกคุณหัวหน้าก็อุตส่าห์อธิบายอะไรลงไปเยอะพอสมควรหล่ะ แต่ในฐานะลูกน้องคนหนึ่ง ผมมองเห็นอะไรบางอย่างที่ดูน่าปวดหัว เพราะเท่าที่รู้ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเหตุผลจริงๆ มันเป็นเรื่องทัศนคติของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องมาทำงานด้วยกันนั่นแหละ
จริงๆ ความดีของหัวหน้าผมมีเยอะครับ ผมไปไหนมาไหนกับเขาก็ได้เห็นได้ยินบ่อยๆ เสียอยู่ตรงนี้เขาดันมาตายเอาตอนเป็นหัวหน้าคนในออฟฟิสเนี่ย ไม่อยากจะบอกว่าจริงๆ หัวหน้าผมไม่ได้มีปัญหากับแค่ลูกน้องที่เขาบ่นเท่านั้นหรอก จริงๆ มีกับทุกคนนั่นแหละ แต่หลายคนเลือกจะเฉยกับท่าทีที่เขาเป็นมากกว่า
ข้อเสียที่ผมอยากเตือนหัวหน้าตัวเองมันก็พอมีอยู่ ถึงผมไม่ใช่เทวดาที่ไหน แต่ผมว่าผมเป็นคนที่รับฟังเรื่องแย่ๆ ที่เขาทำกับคนอื่นมามากจนหลังๆ ผมชักเฉยๆ กับเรื่องแย่ๆ ของเขาแล้วนี่สิ
- หัวหน้าครับ หัวหน้าเป็นคนที่ "ประเมินคนได้ต่ำกว่าความเป็นจริง" มากนะครับ เรื่องบางเรื่อง หัวหน้าพูดเป็นมุขอำ แต่คนอื่นเขาฟังแล้วหัวหน้าเสียนะครับ ผมไม่รู้ว่าก่อนจะมาทำงานด้วยกัน หัวหน้าผ่านนรกขุมลึกจากที่ไหนมาบ้าง แต่พี่ๆ ในออฟฟิสเขามองว่า หัวหน้าผมคนนี้ถูกปลูกฝังอะไรแย่ๆ มาจากที่ทำงานเก่าพอสมควร เลยติดเป็นนิสัยให้หัวหน้าบางครั้งยิงมุขออกมามันไม่ขำ แถมยังทำให้ตัวเองดูแย่ด้วยนี่สิ
- หัวหน้าครับ ปัญหาในที่ทำงานส่วนหนึ่งมันมาจากหัวหน้า "อยากให้ทุกคนเป็นอย่างที่หัวหน้าคิด" นะครับ บางครั้งคนเขาทำงานกันไปเรื่อยๆ หัวหน้าก็มาทำให้วงแตกบ่อยๆ หัวหน้าไม่แปลกใจเหรอครับ ลูกน้องหัวหน้าเขาก็มีลูกน้อง ทำไมเขาคุมกันเองได้ แต่ตัวหัวหน้ากลับคุมลูกน้องตัวเองไม่ได้เลย หัวหน้านึกถึงเรื่องครูประจำชั้นดูนะครับ หัวหน้ามีลูกศิษย์อยู่ 10คน ถ้ามันมีปัญหาอยู่ 2คน แล้วอีก 8คนกู้ดเก๋ยูเรก้าเนี่ย คงพออนุมานได้ว่าหัวหน้าเราโอเคแล้ว 2คนนั้นรั่วเอง แต่ถ้ามันดีแค่คนเดียว ที่เหลือมีปัญหากันคนละนิดละหน่อย มีเยอะก็หลายคนเนี่ย หัวหน้าต้องประเมินตัวเองใหม่แล้วนะครับ เหมือนที่ครูต้องมานั่งคิดว่า "ตกลงนักเรียนโง่ทั้งชั้น หรือครูมันสอนไม่เป็นเอง"
- หัวหน้าต้องใจเย็นกว่านี้ครับ เรื่องบางเรื่องหัวหน้าเตือนคนอื่น หัวหน้าต้องย้อนกลับมานั่งเตือนตัวเองด้วย ไม่อยากให้ใครเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน หัวหน้าก็ต้องทำให้ดูก่อนครับ ไม่อยากให้ใครมานั่งเถียงกัน หัวหน้าก็ต้อง "รู้" ตัวก่อนว่าตอนนี้ของตัวเองกำลังขึ้น Please Clam Down... ก่อนจะคุยกันต่อ
- หัวหน้าต้องรู้จักไว้ใจคนอื่นครับ ไม่ได้แปลว่าปล่อยมันทำอะไรตามใจตัวเองนะครับ แต่อย่างน้อยถ้าเขาทำมาแล้วมันไม่โปรดในใจหัวหน้า ก็ควรส่งให้เจ้านายตัวจริงเป็นคนดูก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าเขาทำมาไม่ดี ไม่เจ๋งพอ เรื่องบางเรื่อง รสนิยมใคร รสนิยมมันครับ
- หัวหน้าต้องรู้จักปกป้องลูกน้องในเรื่องที่ควรปกป้องนะครับ เรื่องบางเรื่องหัวหน้าปล่อยปละละเลยไปนิด ร่วมเหยียบกระทืบซ้ำกับคนอื่นเขามากไปหน่อย ลูกน้องมันก็คนครับหัวหน้า ไม่โปรดกันยังไงก็ลูกน้อง ต้องดูแลให้ทั่วถึงทั้งเรื่องงาน และการหาเลี้ยงชีพครับ
จริงๆ ให้พิมพ์ต่อคงกลายเป็นร่ายพระไตรปิฏก เอาว่าหัวหน้ากลับไปนั่งตรองดูแล้วกันว่าผมบอกไปมันจริงไหม ถ้าไม่จริงก็ไม่ต้องใส่ใจครับ ผมอาจจะมองพลาดไปก็ได้
ผมแค่อยากจะบอกหัวหน้านั่นแหละว่า "หัวหน้าระวังเรื่องความรู้สึกคน" หน่อยนะครับ "ยิ่งสูงมันยิ่งหนาว" เน่อ...
วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 05, 2549
13 Beloved
เพราะมนุษย์มีความอ่อนแออยู่ในใจกันทุกคน มนุษย์จึงถูกหลอกล่อด้วยกิเลสได้ทั้งนั้น แตกต่างกันตามจริตสันดานพื้นเดิมที่ถูกปลูกฝังต่างกันมา... คุณค่าของมนุษย์ที่แท้จริง บางครั้งก็วัดได้ด้วยการลองดูว่า ใครจะอดทนต่อกิเลสที่ยั่วเย้าได้มาก และนานเท่าไหร่
13 คือภาพยนตร์ที่เอาความคิดที่ว่ามาใช้อย่างชัดเจน เมื่อความเป็นคนถูกบีบคั้นด้วยสภาพเศรษฐกิจรุมเร้า ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนขี้แพ้ในสังคม ผู้ชายคนหนึ่งจึงยอมถลำตัวเข้าไปเล่นเกมอันตราย เพื่อแลกกับเงินก้อนโตที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเขาได้ถ้าหากชนะมัน
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากการ์ตูนสั้นของ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ (ซึ่งเป็นผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย) ชื่อ 13 Quizshow ในฉบับการ์ตูน ประเด็นหลักคือการเสียดสี และล้อเล่นกับความโลภของคนเป็นหลัก แต่ในฉบับภาพยนตร์ ประเด็นถูกตีความให้กว้างขึ้น จนได้ตอนจบที่รุนแรงยิ่งกว่าในฉบับการ์ตูน และสามารถแตกเรื่องราวออกมาเป็น 12Begin ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวก่อนหน้า 13 และ 14 ที่เป็นเรื่องต่อไป ซึ่งถือเป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด
ด้วยฝีมือการกำกับของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งมีผลงานก่อนหน้า เป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญอย่าง คน ผี ปีศาจ มาในเรื่องนี้ เราได้เห็นพัฒนาการ และกลวิธีเล่าเรื่องที่แพรวพราวมากขึ้น จุดเด่นเรื่องความละเอียดในการให้มิติกับตัวละครก็ยังไม่ตกหล่นไปไหน บวกกับเนื้อเรื่องที่เล่นกับความรู้สึกของตัวละคร และคนดูอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้ตัวภาพยนตร์โยเฉพาะบทมีความแข็งแรงเหนือกว่ามาตรฐานหนังระทึกขวัญ สยองขวัญแบบไทยๆ เป็นอย่างมาก
แต่จุดเด่นที่เห็นชัด และน่ายกย่องมากที่สุด คือพัฒนาการการแสดงของ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ (น้อย) ในภูชิต พนักงานขายเครื่องดนตรีที่กำลังตกอับสุดขีด ถูกไล่ออกจากงาน รถโดนยึด เงินไม่มีเก็บ แถมแม่ยังขอยืมเงินใช้อีก ชีวิตที่น่าจะตายๆ จบปัญหาไปเสีย ก็มีเสียงโทรศัพท์ส่งข้อความจากอีกปลายสายว่า เขาถูกเลือกให้เล่นเกม 13 ถ้าหากตกลงเล่น และชนะ เขาจะได้เงินรางวัล 100ล้านบาท หากแพ้ เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย
สิ่งที่เห็นได้ชัดในเรื่องก็คือการเปลี่ยนแปลงจากคนดีขี้แพ้ ที่เราพบเห็นได้ในสังคมเมืองปกติ กลายเป็นคนเลวที่ทำทุกอย่งเพื่อให้ได้เงิน ด้วยความสามารถของน้อย ผมมองไม่เห็นว่าจะหาใครมาเล่นแทนเขาได้ ทั้งน้ำเสียง การแสดงทางร่างกาย แววตา เขาทำได้อย่างกลมกลืนไปกับเวลาในเรื่องอย่างเหมาะเจาะ ไม่มีมาก หรือน้อยจนเกินไป ถ้าหากนับจำนวนภาพยนตร์ที่เล่นมาก่อนหน้าเพียงสองเรื่อง คือ หัวใจทรนง กับทวารยังหวานอยู่ น่าสนใจว่า นักร้องคนดังคนนี้ น่าจะเพิ่มที่ทางของตัวเองในฐานะนักแสดงมืออาชีพ ที่เหมาะจะเล่นบทที่มีความหลากหลายในตัวเองสูง ซึ่งหานักแสดงในเมืองไทยทุกวันนี้เล่นได้ยากเย็นจริงๆ
ถ้าหากสุดสัปดาห์นี้คุณไม่รู้จะไปเที่ยวไหน เบื่อภาพยนตร์ตลก ภาพยนตร์อนิเมชั่นสีลูกกวาด ผมขอแนะนำ 13 ให้คุณรับชม ขอรับประกันว่าคุณจะไม่มีทางบ่นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ห่วยแน่นอน แต่คุณอาจจะสะอึกกับตอนจบที่ดูเหมือนไม่จบของภาพยนตร์ไปเลยก็ได้
ส่วนผมเอง ตอนนี้ได้แต่ 14 ว่าเมื่อไหร่จะเริ่มถ่ายทำเสียที อยากรู้ว่าบทสรุปเกมนรกเกมนี้ สุดท้ายใครจะเป็นคนชนะตัวจริง...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)