วันเสาร์, พฤศจิกายน 11, 2549

The Prestige: มายา ริษยา...


ความริษยาของมนุษย์อันตรายเสมอ เพราะมันมักชักจูงคนคนหนึ่งให้ทำเรื่องที่ปกติไม่คิดจะทำออกมาได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะความริษยาคือไฟแรกที่มนุษย์ มันทำให้ใจร้อนรุ่ม มันแผดเผาสำนึกชั่วดีของเราให้แตกดับไปได้ ถ้าเราไม่รู้จักเอามันลงในเวลาที่เหมาะสม

ถ้าบอกว่าความริษยาของคนทั่วไปอันตรายแล้ว คนบางจำพวกยิ่งควรจะหลีกเลี่ยงไฟริษยาให้ไกล โดยเฉพาะคนประเภทที่เราเรียกขานเขาว่า "นักมายากล" คนจำพวกนี้ควรดับไฟริษยา หรือเอามันไปเติมเชื้อที่ถูกที่ควร มากกว่าจะเอาไว้เผาใจตัวเอง เพราะพวกเขาทำในสิ่งที่เราละเลยให้กลายเป็นความน่าฉงน ทำสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องวิเศษได้ ถ้าไฟริษยาอยู่ในใจคนแบบนี้ ความวิเศษจะกลายเป็นเล่ห์ร้าย เรื่องอัศจรรย์จะกลายเป็นแผนชั่ว แบบไม่ต้องสงสัย

อย่างในเรื่องนี้ สองนักมายากลที่เป็นเพื่อนรัก กลับกลายเป็นคู่แค้น เพราะความริษยาในความเก่งกาจที่อีกฝ่ายมี ชนิดเก็บเอาไว้ไม่ได้ ต้องหาวิธีเอาชนะทุกวิถีทาง การหักหน้า ทำลายกล โขมยความคิด จนถึงวางแผนฆ่า ของเหล่านี้ถูกงัดออกมาใช้เบื้องหลังเวที เพื่อให้เบื้องหน้า เขาจะกลายเป็นนักมายากลผู้สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้ชมไปตลอดกาล

สิ่งที่อยู่ในใจผมไม่ใช่ลีลาการแสดงของ คริสเตียน เบล หรือฮิวจ์ แจ๊กแมน ทั้งคู่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติครับ หักเหลี่ยมเฉือนคมกันได้มันหยดตลอดทั้งเรื่อง

ไม่ใช่ฝีมือการกำกับของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ในฐานะแฟนหนังชนิดเหนียวแน่นของเขา เพราะตามดูมาตั้งแต่ Memento จนถึงเรื่องนี้ ฝีมือของเขายังดีไม่มีตก การเล่าเรื่องแบบสลับเวลา หลอกล่อคนดูให้รู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกได้อย่างยอดเยี่ยม

สิ่งที่อยู่ในใจผม มันคือผมกลับมานั่งคิดหลังจากดูจบว่า "ผมกำลังริษยาใครอยู่รึเปล่า"

หลังจากชีวิตผลักดันตัวเองให้ยึดการขีดเขียนเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ผมกลับยังเจอปัญหาเดิมๆ เหมือนเมื่อตอนเริ่มต้นวันแรกไม่มีผิด อาจจะเพราะอ่านมาก รู้มาก หรือด้วยเหตุผลอื่นใดไม่รู้

แต่ผม "ไม่เคยพอใจงานของตัวเอง" เอาซะเลย

ผมเคยตั้งใจว่า ถ้าวันไหนผมเขียนให้ตัวเองอ่านแล้ว "ปลื้ม" ได้ วันนั้นผมจะเอางานชิ้นนั้นไปให้ใครซักคนเอามันออกไปประกาศว่าผมได้ทำงานเสร็จแล้วหนึ่งชิ้น

แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง และผมต้องนั่งเฝ้ารอวันนั้นอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ผมเขียนงานไม่ออก ทุกวันนี้แม้แต่งานแปลที่ทำประจำยังต้องบังคับตัวเองให้ดูแค่ไม่กี่รอบ ไม่อย่างนั้นผมต้องนั่งแก้มันจนไม่ได้ส่งงานเลยซักชิ้นเป็นแน่

งานหลายชิ้นผมแก้แล้วแก้อีกจนทนไม่ไหว ถ้าไม่ปัดส่งไปเลย ก็ต้องลบทิ้ง โดยเฉพาะงานที่ผมเขียนส่วนตัว มันหนักไปทางอย่างหลังมากกว่า

พอดูหนังเรื่องนี้จบ ผมเลยต้องหนังตัวเองว่าผมกำลังสับสนอะไรอยู่รึเปล่า

คนไปดูด้วยถามผมด้วยคำถามสั้นๆ ว่า "ตกลงอ้วนไม่พอใจงานตัวเอง หรือไม่พอใจตัวเองตอนนี้กันแน่"

นั่นสิ หรือผมกำลังริษยาตัวเองที่อยู่ในความคิด ความฝันของผมเอง ผมกำลังเอาตัวเองในวันวานจนถึงตอนนี้ ไปเทียบกับตัวเองในแบบวาดหวังเอาไว้ และเชื่ออย่างฝังหัวว่าสามารถเอาชนะตัวตนในจินตนาการของตัวเองได้

ผมอาจลืมไปว่า จินตนาการเป็นเหมือนขั้นบันไดขั้นต่อไป ยิ่งผมเดินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเพิ่มขั้นความฝันให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพยายามก้าวให้เร็วเท่าไหร่ ขั้นต่อไปยิ่งเพิ่มความสูงเร็วขึ้นเท่านั้น

หรือผมกำลังพยายามไล่ตาม บางสิ่งที่ผมไม่วันเดินไปถึงกันแน่ ผมชักสงสัยตัวเองขึ้นมาแล้วสิ...

1 ความคิดเห็น:

Oakyman กล่าวว่า...

ดูยังไงก็ไม่ใช่เพื่อนรักกันอะ