วันศุกร์, ตุลาคม 20, 2549

คำถามเสียดใจ

วันนี้เพื่อนโทรมาหาครับ หลังจากไม่ได้ติดต่อกันเลยสองสามปี เธอเป็นเพื่อนสนิทผมตั้งแต่สมัยมัธยมปลายเรียนมาหวิทยาลัยก็ยังอุตส่าห์เรียนที่เดียวกันถึงจะคนละคณะก็เหอะ จริงๆ คือผมตามเธอไปนั่นแหละครับ

สาเหตุที่เธอต้องโทรมาก็เพราะผมดันฝันเห็นเพื่อนเธอคนนึงที่ผมเองก็สนิทด้วย จริงๆ น่าจะเรียกว่าเธอคนนั้นไว้ใจว่าผมจะไม่คิดอะไรกับเธอมากกว่าเพื่อนตะหาก เลยยอมให้ผมอยู่ใกล้ๆ เธอขนาดนั้น

สมัย ม.ปลาย ผมเลยเป็นไอ้จิ้งเหลนที่น่าอิจฉาที่สุดในโรงเรียนเพราะห้อมล้อมด้วยสาวสวย 7คน ไปไหนมาไหนกันแบบพวงก๋วยเตี๋ยวอยู่สองปี จริงๆ ถามว่าผมคิดอะไรกับเธอมั้ย ณ เวลานั้นคงไม่ได้คิด เพราะคิดไม่ได้มากกว่า มองตัวเองแล้วไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจผู้หญิงเลยนี่นา อยู่เจียมๆ ไปนั่นแหละดีแล้ว

เรื่องความฝันจริงๆ มันก็เกี่ยวกับอะไรที่ค้างคาใจอยู่นี่แหละ แต่จริงๆ ผมวางมันทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่รู้ข่าวว่า “เธอกำลังจะแต่งงาน” ทำไมอยู่ดีๆ ความรู้สึกที่ควรทิ้งไปตั้งห้าปีแล้วถึงกลับมาอยู่ในหัวผมอีกทีนึง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

ที่แน่ๆ ผมฝันถึงเพื่อนทีไร เป็นลางไม่ดีทุกที คราวนี้เลยต้องพยายามติดต่อกับพวกเธอหน่อยว่ามีอะไรเกิดขึ้นไหม

แต่เพราะไอ้ตัวผมเองที่ขาดการติดต่อเพื่อนไปเลย ทำให้ไม่รู้ว่าจะติดต่อกันแบบไหนนี่สิ ผมเลยต้องพึ่งเพื่อนสนิทอีกคนที่มี MSN มันอยู่ให้ช่วยไปสอบถามเพื่อนคนที่โทรมาให้ เพราะเธอเป็นคนติดต่อเพื่อนๆ ในห้องตลอด เรียกว่าถ้าตกข่าวเพื่อนคนไหนไปถามเอากับเธอได้เลย

อารามไม่ได้ติดต่อกันนาน เลยลืมไปเรื่องนึงว่า มันกับเธอไม่ได้ญาติดีอะไรกันเท่าไหร่ พอมันไปหาเธอที่บ้านเลยเจอการต้อนรับแบบ “ประทับใจอย่างแรง” กลับมา จนต้องออนไลน์มาเพื่อระบายกับผม และบอกว่าจัดการธุระมึงให้แล้วนะเว้ย ไอ้ผมเองก็ต้องขอโทษขอโพยมันไป เข้าใจมันหละ คนมันไม่กินเส้นทำยังไงก็คงคุยกันดีๆ ยากอยู่
กลับมาที่เธอโทรมาหาผม หลังจากนอนกลางวันเสร็จแล้ว ผมเลยรู้ว่าตอนนี้เธอเป็นแม่คนไปแล้ว ตามเพื่อนๆ ในกลุ่มที่เป็นแม่คนไปก่อนหน้าเยอะแยะ แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้ถามถึงเบอร์ติดต่อคนที่ผมฝันถึงอยู่ดี แต่สัญญากับเธอไว้แล้วว่าสิ้นปีจะกลับไปอุ้มหลาน

“เมื่อไหร่เธอจะแต่งงาน” เป็นคำถามที่เล่นเอาผมอึ้งไปพักนึงระหว่างที่คุยกับเธอ แต่มันไม่ได้แปลว่าเธอทำร้ายความรู้สึกผมหรอกนะ เพราะผมเองก็รู้สึกตัวเหมือนกันว่าทุกวันนี้ ตัวเองใช้ชีวิตต่างกับเพื่อนเก่าสมัยเด็กๆ เหมือนอยู่กันคนละโลก เป็นเพราะนิสัยส่วนตัว เป็นเพราะชะตาชีวิตด้วยกระมัง ผมถึงต้องห่างพวกเขามาอยู่เมืองหลวงที่ดูจะเข้ากับสันดานตัวผมเองมากกว่าบ้านที่เรียบง่ายแบบนั้น

ทุกวันนี้ ลึกๆ อิจฉาชีวิตพวกเขาเหมือนกันนะครับ ที่ไม่ต้องวกวนอะไรมาก มองไปข้างหน้าแล้วเดินไปเรื่อยๆ ได้เลย เจอปัญหาก็แก้ แล้วทำให้จบไปเป็นเรื่องๆ แต่ถ้าให้ผมไปใช้ชีวิตแบบนั้น ผมก็รับไม่ได้นะ ดูมันฝืนสันดานตัวเองพิกล จริงๆ คือพยายามแล้ว แต่รู้ตัวเลยกลับมาอยู่อยู่ในเมืองหลวงแบบทุกวันนี้นี่แหละ

ถือว่าชีวิตใครชีวิตมัน เค้าดีในแบบของเค้า ผมดีในแบบของผมจะดีกว่า สิ้นปีสงสัยต้องเพาะกล้ามแขนหน่อย เอาไว้อุ้มหลานเยอะๆ เป็นลุงแล้วนี่เรา

ชีวิตสุขสันต์ครับ

4 ความคิดเห็น:

keerati กล่าวว่า...

คำถามแบบนี้

เสียดแทงใจคนจำใจโสดนะ

ถ้ามันใช่ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

เน้อ


ว่าไหมคะ

เอกเอง กล่าวว่า...

จำใจโสด เออนั่นสิ ไม่ได้เต็มใจเลยนะเนี่ย

keerati กล่าวว่า...

แล้วสักวัน เราจะไม่ต้องจำใจมีคู่ไง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

น่า
อย่าเพิ่งถอดใจ
ต้องมีวันของเอ็งสักวันแหละเอกเอ๊ยยย
นะ