วันอาทิตย์, พฤษภาคม 06, 2550

ว่าด้วย "กรรมฐาน"

หัวข้อนี้ ถือเป็นเรื่องที่ผมต้องคิดแล้วคิดอีก กว่าจะพิมพ์ออกมาได้ ไม่ใช่เพราะความยากง่ายในการพิมพ์เรื่องราวมาบอกกล่าว แต่มันยากตรงที่ว่า ผมจะพิมพ์ยังไงไม่ให้ผมเล่าอะไรได้มากเกินกว่าที่ผมรู้ตอนนี้

จุดมุ่งหมายหนึ่งของการบวชสำหรับ คือการไปทำความเข้าใจเรื่อง "กรรมฐาน" ว่ามันมีอะไรมากกว่าการทำสมาธิหรือเปล่า หรือเป็นแค่การพิจารณาด้วยปัญญาของตัวเอง ก็ สามารถรู้ถึงคำว่า "กรรมฐาน" ได้แล้ว


ระยะเวลาไม่กี่วันในชีวิตพระสงฆ์ ในที่สุดผมก็ได้เริ่มต้นทำความเข้าใจเรื่อง "กรรมฐาน" ในแบบฉบับ "รู้เอง เข้าใจเอง" เอาในวันที่สี่ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่สิ่งที่ได้รับคือการเข้าใจถึง แนวคิดเรื่องจิต และเปิดมุมมองเรื่องจิตใจมนุษย์ให้กับผมได้มากมายมหาศาล

เปรียบเทียบง่ายๆ คงเหมือนเด็กแม่โต๋ ที่ได้เห็นทะเลครั้งแรกในชีวิตประมาณนั้น มันน่าตื่นเต้น น่าจดจำ และเป็นประสบการณ์ที่รู้ได้เฉพาะตัวของเราเองจริงๆ

ถ้าพูดตามหลักความรู้ทั่วไป "กรรมฐาน" แบ่งแบบกว้างๆ ได้สองระดับ ระดับแรกคือ สมถะกรรมฐาน อีกระดับคือ วิปัสนากรรมฐาน

สมถะกรรมฐาน คือการกำหนดจิตให้นิ่งเป็นอารมณ์เดียว เป็นการประคองจิตข้างในให้อยู่ในสภาพนิ่งสงบ ตัดจากการกระตุ้นของปัจจัยต่างๆ เพื่อให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว

ส่วน วิปัสนากรรมฐาน คือการใช้จิตที่สงบนิ่งดีแล้ว มาพิจารณาสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดปัญญา เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาจิตให้ยกระดับสูงขึ้น เพื่อรู้เท่าทันกิเลส

โดยหลักการทั่วไป การฝึกกรรมฐานมักเริ่มต้นด้วย สมถะกรรมฐานก่อนครับ แต่วิธีการฝึกไม่มีอะไรตายตัวนัก แล้วแต่ว่าจะสรรหาวิธีการอะไรมาประคองให้จิตของเราเข้าสู่สภาวะ สมถะ ได้ บางคนใช้การภาวนา พุทโธ โดยหายใจเข้าออกเสียงพุท หายใจออกออกเสียงโธ อย่างวัดธรรมกายก็ใช้วิธีการเพ่งภาวนาไปยังดวงแก้ว สิ่งเหล่านี้คืออุบายในการปรับสภาพจิตทั้งนั้น ไม่มีวิธีการที่ถูกหรือผิด เพราะสุดท้ายสิ่งที่ได้คือ การสำรวมจิตไปจดจ่อยังสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกัน

ขั้นที่ยากคือการเอาจิตที่เป็น สมถะ แล้วไปพิจารณาเข้าสู่การ วิปัสนา นี่แหละ ยากเพราะหลายคน เมื่อจิตเป็น สมถะ แล้ว ก็จะติดอยู่ในความสบาย สงบ หรือเป็นนิมิต เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ทำให้ติดอยู่ในวังวนของการภาวนา จนลืมพิจารณาเพื่อให้ปัญญาเกิด

ถ้าถามผมว่า เมื่อจิตของเรานิ่งแล้วจะได้อะไร คำตอบของผมคือ การเข้าถึงความรู้ในแบบที่ผัสสะภายนอกให้กับเราไม่ได้ครับ

เมื่อจิตเป็น สมถะ ได้แล้ว การพิจารณาสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวรอบตัว และสภาวะร่างกายของตัวเอง จะพบว่ามันเข้าถึงสิ่งนั้นได้ ละเอียด เป็นขั้นตอน และเข้าใจในสิ่งนั้นได้แจ่มแจ้ง ในแบบที่ไม่มีการอธิบายไหนสามารถบอกได้เท่าเทียม

ขอเล่าถึงการปฏิบัติของตัวเองแล้วกัน เรื่องของเรื่องคือทุกเย็น หากไม่ติดกิจธุระจำเป็นอะไร พระทุกรูปต้องออกไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นที่โบสถ์ โดยวันพระถือเป็นวันที่ขาดไม่ได้ ก่อนสวดมนต์ในโบสถ์จะมีการนั่งภาวนาก่อนประมาณหนึ่งชั่วโมง ด้วยความที่เป็นวันพระ ผมอู้ไม่ได้ ก็ต้องไปทั้งที่ยังไม่พร้อมเท่าไหร่นั่นแหละ ด้วยความที่ไม่ได้นั่งขัดสมาธิมาเป็นสิบปี พอนั่งได้ซักห้านาที ขามันก็เริ่มปวด ปวดเพราะสังขารตัวเอง ที่ช่วงขาเกิดอุบัติเหตุซ้ำหลายครั้ง จนเส้นเอ็นกล้ามเนื้อมันยึด มันยืดได้ไม่เต็มที่ด้วย ใจตอนนั้นคือต้องทนนั่งไปจนกว่าจะถึงเวลาสวดมนต์ ความเจ็บปวดมันก็รุกเร้าเราไปเรื่อยๆ จนตัดสินใจ ไม่คิดถึงความเจ็บมันอีก เพราะตัวเองภาวนาไม่เก่ง ท่องพุทโธ เดี๋ยวก็แวบไปคิดโน่นคิดนี่ สู้นั่ง "เฉยๆ" ไปเลยจะดีกว่า

ไอ้ตอนนั่ง "เฉยๆ" นี่แหละจริงๆ มันก็ไม่ได้เฉยๆ แต่มันกลายเป็นการจดจ่อไปยังร่างกายของเราเองว่า ทำไมถึงเจ็บปวด มันเจ็บปวดจากไหน พอตัดความคิดฟุ้งซ่านออก เพียงชั่วครู่ที่ใจเรา "นิ่ง" ได้จริงๆ จิตผมก็ลงไปพิจารณาอาการเจ็บปวดของตัวเองได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงเวลาไม่นานนั้น ผมเข้าใจถึงสภาพกระดูกตรงเชิงกราน รู้ถึงความเคลื่อนไหวของเส้นเอ็นที่ยึดขาไว้ ลำดับการขยับของกระดูก ซึ่งเคลื่อนลงตามแรงกดของน้ำหนักตัวได้อย่างละเอียด ละเอียดชนิดที่ว่า ได้ยินเสียงขลึ่กขลั่กจากภายในร่างกายของเราเอง แต่สภาพมันอยู่ได้เพียงไม่นาน ด้วยเพราะความที่เราไม่ได้ควบคุมมันได้ มันทะยานไปเพื่อบอกสิ่งที่เราอยากรู้ด้วยตัวมันเอง พอเรารู้ มันก็หลุด ความนิ่งก็หาย จิตก็กลับไปฟุ้งซ่านอีกครั้ง

---------------------------------------------------------------------------

ถ้าถามผมว่า "เราสามารถข้ามการสมถะกรรมฐาน ไปฝึกวิปัสนากรรมฐานได้เลยไหม" คำตอบของผมคือ "ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน" เรื่องพวกนี้ขึ้นกับพื้นฐานจิตของตัวเอง ว่าพร้อมที่จะนิ่ง พร้อมที่จะพุ่งทะยาน ไปยังสภาวะที่ไม่สามารถใช้ผัสสะหยั่งถึงได้หรือยัง

หลายคนมีบุญเก่าดี จิตสามารถเข้าถึงความนิ่งได้โดยไม่ต้องพึ่งอุบายต่างๆ การไปฝึกวิปัสนาเลยย่อมทำได้ครับ แต่ถ้าจิตยังไม่นิ่ง แต่ไปมุ่งวิปัสนา เราจะไม่สามารถตัดการรบกวนจากกิเลสได้เลย

เพราะกิเลสมันคือสิ่งที่หล่อหลอมตัวเราให้ยึดถือเนื้อหนังมังสา สิ่งต่างๆ รอบตัวเราไว้ ที่แย่คือมันไว มันล้ำลึกกว่าเกินกว่าจะใช้แค่ความรู้ หรือความฉลาดจัดการมันได้ มีสองสิ่งที่เราจะใช้เป็นอาวุธจัดการกับกิเลส นั่นคือ "สติ" และ "ปัญญา" ที่สำคัญสองสิ่งนี้ ถ้าเราไม่ "สงบ" มันก็ไม่เกิดเสียด้วยสิ

วันพุธ, เมษายน 25, 2550

ผ้าไตรฯ ผ้าสามชิ้น ที่สำคัญยิ่งชีพ

หนึ่งในกิจของสงฆ์ต้องปฏิบัติอยู่วัตรคือการครองผ้าไตรฯ ผ้าไตรฯ คือเครื่องนุ่งห่มชุดมาตรฐานของพระสงฆ์ในนิกาย เถรวาท ซึ่งมีข้อวัตรปฏิบัติในพระธรรมวินัยทั้งหมด 227 ข้อหลัก ที่เรียกผ้าไตรฯ เพราะทั้งหมดประกอบด้วยผ้าสามผืน นั่นคือ สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่มตัว) และสังฆาฏิ (ผ้าคลุมกันหนาว) ส่วนผ้าที่ใส่ปกติกันทุกวันนี้อีกสองชิ้นคือ ผ้าพันตัว (คือผ้าผืนนึงที่ไว้ใส่ลำลองแทนจีวร) กับผ้ารัดเอว (เอาไว้รัดสังฆาฏิเวลาแต่งเต็มยศ) ไม่ได้ถูกนับรวมดังนั้นสองผืนหลังนี่ ไม่มีก็ไม่ผิดพระธรรมวินัยครับ

หลังจากได้รับผ้าทั้งสามผืนจากพิธีบวช ขั้นตอนต่อมาคือ การทำพินธุ หรือแต้มตำหนิเพื่อถือครองผ้าไว้ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มของตน พิธีการครองผ้ามันไม่ยากเย็นอะไรหรอกครับ สิวๆ ชิวเดร้นๆ แต่ไอ้ที่ทำเอาแย่ไปหลายวันก็คือการนุ่งผ้าสามผืนพวกนี้นี่แหละ

สังฆาฏินี่ไม่มีอะไรยาก เพราะปกติเอาไว้พาดบ่า ซึ่งมันได้ใช้จริงๆ สองครั้ง คือตอนทำพิธีบวช กับทำพิธีสึกแค่นั้น แต่ที่ยุ่งยิ่งนักคือ สบง กับจีวร ครับ

บวชเจ็ดวัน ใส่จีวรเองได้ก็เก่งแล้ว ใครถูกพูดแบบนี้ อย่าไปโกรธนะครับ เพราะมันเป็นความจริงนั่นแหละ โดยเฉพาะพระบวชใหม่ซิงๆ ยังไม่ใช่บวชไม้สอง ไม้สาม

ตอนทำพิธีบวชมีพระพี่เลี้ยงแต่งตัวให้มันเลยไม่ยากเท่าไหร่ แต่ความสลดมันเริ่มต้นหลังจากตอนบวชเนี่ยครับ เพราะผ้าทั้งสามผืน มันคือผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าใหญ่สามผืนเท่านั้นเอง ไม่ได้ถูกเย็บไปผ้านุ่งแบบผ้าถุง รึผ้าซิ่นของผู้หญิง สำหรับ สบง จะดูว่าแต่งได้เรียบร้อยไม่เรียบร้อยดูได้ที่การเก็บชายผ้านี่แหละ ถ้าเห็นชายผ้าที่เป็นแลบ ถือว่ายังไม่คล่อง และควรระวังดีๆ เพราะต่อให้คาดสายประคดรัดเอวไว้แน่นแค่ไหน ก็มีโอกาสสร้างทัศนะอุจาดได้ตลอดเวลา อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลย ผมเองยังทำสบงร่วงตอนแต่งตัวไปทำวัตรเย็นมาแล้ว อนาถจริงๆ

ส่วนจีวรนี่อาจไม่สร้างความอุจาดเท่า แต่มันคือผ้าที่ต้องแต่งทุกวัน วันละอย่างน้อยสองครั้งคือ ตอนเช้าออกบิณฑบาตร และเย็นตอนออกไปทำวัตรเย็นที่อุโบสถ แถมการแต่งมีสองแบบคือ ถ้าพิธีการอยู่ในเขตวัด จะเป็นการห่มจีวรแบบเฉียง คือเปิดไหล่ขวา แต่ถ้าออกนอกวัด อย่างบิณฑบาตรตอนเช้า จะเป็นการห่มแบบปิดไหล่ทั้งสองข้าง

ด้วยความใหญ่รุ่มร่าม แต่ต้องนุ่งห่มให้พอดีตัว วิธีการดูไม่มีอะไรซับซ้อน แค่เอามาห่มตัวไว้ เก็บชายผ้าด้วยการม้วนทบปลายด้านหนึ่ง ให้เป็นเกลียวสามเหลี่ยม แล้วเอาปมผ้าที่ม้วนไพล่ขึ้นพรึ่บพรั่บ โอ้ย ดูหลวงตาทำ อีซี่ๆ โนวพรอมแพรมแต่ทำไมเวลาทำเองมันยากจังฟระ โอ้ย ผ้าทำไมม้วนเก็บชายยากจังวุ้ย ดึงปลายผ้าสูงพอรึยังหว่า (ถ้าดึงปลายด้านที่เราตั้งต้นม้วนไม่สูงพอ เพราะจะได้ชุดวิวาห์ทิ้งชายสวยๆ น่าเกลียดมาก) ปมม้วนเก็บดีรึยัง แถมตอนเสร็จต้องหนีบรักแร้ซ้ายไว้ให้ดี ไม่งั้นผ้าทั้งหมด จะร่วงลงมากองตรงหน้าตอนก้มตัวอีก โอย น่าอนาถกันอีกแล้ว

ส่วนตัวยอมรับครับว่าไม่ใช่คนอดทนกับเรื่อจุกจิกเท่าไหร่ แต่การครองผ้าทั้งจีวร และสบง มันจำเป็นต้องทำทุกวันในตอนบวช ก็ต้องฝึกห่มกันหลายครั้ง แต่เชื่อมั้ยว่าทำยังไงก็ไม่รอดครับ ยังเละ ยังแย่ จนต้องพวกหลวงตาต้องมาช่วยจัดการให้ทุกทีก่อนออกไปบิณฑบาตร แถมตอนเดินก็ยังห่วงกลัวมันร่วงลงจากไหล่อีก พาลจะทำบาตรร่วงลงพื้นตามไปด้วย วันแรกๆ เลยเป็นการบิณฑบาตรสุดทะลักทุเล จนนึกถึงทีไรก็ยังทุเรศตัวเองอยู่

แล้วพอวันที่ห้า ด้วยอารมณ์หงุดหงิดตัวเอง บวกกับเกรงใจหลวงตาทั้งหลาย เลยตัดสินใจห่มจีวรให้ตัวเองแบบหลับหูหลับตาไปเลย ไม่ต้องคิดมากโอ๊ะ! มันก็ได้วุ้ย! บทมันจะได้ก็ได้ง่ายๆ เลยครับ อะไรที่เคยทำได้ยาก ก็ทำแบบไม่ลำบากเท่าไหร่ วันเวลาที่เหลือ เลยได้กลายเป็นพี่เลี้ยงพระใหม่ จัดการเรื่องจีวรบ้าง

ด้วยเรื่อง จีวร นี่แหละ ถึงทำให้ผมเข้าใจความจริงของชีวิตบางเรื่องที่ว่า บางครั้ง การแก้ปัญหา มันอยู่ที่เวลานั่นแหละ การไปเร่ง ไปดันมันมาก ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แถมยังทำให้เราทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก

ขอทิ้งท้ายความรู้เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับผ้าไตรฯ ครับ

- ผ้าไตรฯ และอัฐบริขาร (บาตร ผ้าปูนั่ง เป็นต้น) ห่างจากกายสงฆ์เกินกว่าหนึ่งศอกไม่เกินหนึ่งวันกับหนึ่งคืน คือสงฆ์ไม่ควรทิ้งสิ่งของที่เป็นของใช้ส่วนตัว ให้พ้นสายตา และต้องดูแลตลอดเวลานั่นแหละครับ ถ้าหากอยู่ห่างจากตัวล่วงเวลาดังกล่าว ติดอาบัติ ถุลปัจจัย ทางแก้ของผมคือ เอาสังฆาฏิ กับจีวรหนุนหัวนอนเลยครับ บาตรก็วางไว้บนเตียงนั่นแหละง่ายดี

- พระธรรมวินัยอนุญาตให้สงฆ์อยู่โดยปราศจากผ้าไตรฯ ได้หนึ่งวันกับหนึงคืน ครับ คือเผื่อซักตากนั่นเอง แต่ไม่ได้แปลว่าอนุญาตให้แก้ผ้าเปลือยนะครับ อันนั้นจะไปผิดอีกข้อนึงแทน

- ผ้าจีวรผืนใหญ่ๆ บางทีดูยากครับ ว่าด้านไหนเป็นด้านใน ด้านไหนเป็นด้านนอก โดยเฉพาะจีวรที่ยังไม่มีร่องรอยการใช้งาน ให้สังเกตที่ขอบผ้าเอาครับ ขอบผ้าด้านนึง จะมีการเย็บเป็นปมเชือกเอาไว้เป็นดุมไว้ติดจีวรให้ชายผ้าไม่ปลิวตามลมไปมา ด้านที่มีปมแบบนั้น ด้านนั้นคือด้านในครับ ส่วนที่ดูว่าส่วนไหนอยู่ด้านบน หรือด้านล่าง ให้ดูที่ด้านที่มีปมอยู่ช่วงกลางผ้า ปมคู่กลางคู่นั้น เอาไว้ติดช่วยยึดผ้าไว้หัวไหล่ เพื่อให้ห่มจีวรได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

- ส่วนใหญ่ผ้าไตรฯ วัดมักจัดให้อย่างละผืน แต่จะมี สบง ที่อาจจัดไว้ให้สองผืนสองแบบ คือแบบเย็บเป็นตาช่อง ซึ่งผ้าจะหนากว่า เอาไว้นุ่งเวลาออกไปนอกวัด ส่วนอีกแบบจะเป็นผ้าเรียบๆ ชั้นเดียว ผืนนี้ไว้นุ่งอาบน้ำ หรือใช้นุ่งอยู่ภายในวัดครับ

- ผ้าจีวรส่วนใหญ่ จะทำด้วยผ้าฝ้าย หรือผ้าโทเล ซึ่งแห้งง่ายมาก ถ้าแดดดี หรือลมโกรก ซักตากก็แห้งภายในชั่วโมงเดียวครับ ผืนเบ้อเร่อแบบนั้นนั่นแหละ ดังนั้นจึงไม่มีข้ออ้างว่า ซักไม่แห้ง ยกเว้นไปซักเอาตอนฝนตกทั้งวัน แต่ถ้าทำยังงั้นจริงๆ คงไม่ใช่แค่โง่ครับ ต้องบ้าเอาการ

- ปกติเครื่องนุ่งสบงจะมีสายประคดมาให้ ถ้าไม่มีอะไรรัดเอวจริงๆ เชือกฟางอะไรซักเส้นก็ได้ครับมารัดคาดเอวไว้เถอะ อย่าโชว์ทำนุ่งแบบโสร่งนะครับ ผ้ามันเบามาก ลมพัดแรงๆ เดี๋ยวปลิวตามเก็บไม่ทันเนี่ย รู้ถึงไหน อายถึงนั่นจริงๆ นะ

วันพุธ, เมษายน 18, 2550

เรื่องเล่าจากกำแพงวัด: บิน-ต๊ะ-บาดดด...

แน่นอนว่าใครก็ตามที่่นับถือศาสนาพุทธ มากกว่าแค่พิมพ์ไว้ในทะเบียนบ้าน
ย่อมต้องเคยใส่บาตรตอนเช้ากันทั้งนั้น และแน่นอนว่า บุรุษใดก็ตามบนโลกน
ที่นับถือพุทธศาสนา และได้บวชเป็นบรรพชิต การบิณฑบาตร ถือเป็นวัตร
ที่ต้องปฏิบัติทุกวันหากไม่มีเหตุอันจำเป็นให้ต้องงดเว้น (เช่นเป็นวัดอยู่สามจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ช่วงไหนพวกโจรออกมา เฮดช็อต บ่อย ๆ อาจจะงดบิณฑบาตร
เป็นชั่วคราวได้ แต่ต้องเป็นมติของสงฆ์ที่อยู่ในวัดทั้งหมดนะครับ)

*******************************************

โดยหลักการ การทำบุญ ไม่ใช่เฉพาะใส่บาตรอาหารพระเท่านั้น มีองค์ประกอบ
ที่ต้องคิดถึงอยู่ 3เรื่อง หนึ่งคือวัตถุดี หนึ่งคือเจตนาของผู้ทำบุญดี และสุดท้ายคือ
ผู้รับเป็นบุคคลที่ดี

ข้อแรกวัตถุดี ก็คือสิ่งที่ใช้ทำทานเป็นวัตถุที่มาจาี่กปัจจัยตั้งต้นดี ดีที่ว่าคือ
ไม่ได้เป็นผลจากเหตุที่ชั่ว ไม่ได้ปล้นใครมา ไม่ได้เป็นวัตถุต้องห้ามอันพึงงดเว้น
ยกตัวอย่างทำบุญอาหารก็คือ เป็นอาหารที่ประกอบขึ้นเพื่อการบริโภค ใช้วัตถ
ุที่กินทั่วไป ไม่ต้องอลังการแบบดีงู จู๋ช้าง แค่ธรรมดา ไม่เลว ก็ถือว่าดีแล้วครับ
จริงๆ แล้วถ้าพระรู้ว่าอาหารนั้นฆ่าสัตว์มาเพื่อทำบุญโดยเฉพาะ ท่านจะไม่ฉันอาหารนั้น
เพราะพระธรรมวินัยระบุว่า การฆ่าสิ่งมีชีวิตเพื่อการทำบุญโดยเฉพาะ ถือเป็นเรื่อง
ไม่สมควร ใส่บาตรก็ใส่อาหารที่กินกันธรรมดาเถอะครับ พระไม่ติหรอก

ส่วนคนทำบุญดี นั่นคือตั้งใจทำบุญเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจ
ไม่ใช่ทำหวังเอาบุญขึ้นสวรรค์ ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์วันข้างหน้า
การใส่บาตร เจตนาคือการช่วยเหลือให้พระสงฆ์มีอาหารกิน เพื่อยังชีวิตอยู่ปฏิบัติธรรม
และสั่งสอนคนอื่นให้รู้ถึงรสพระธรรม เรื่องบุญเป็นอานิสงค์อันเกิดจากการทำดี
ของเราอยู่แล้ว ไม่ต้องมองข้ามช็อตไกลนักก็ได้ครับ

ให้แก่ผู้ปฏิบัติดี ข้อนี้สิยากสุด เพราะปัจจัยขึ้นผู้รับ ถ้าให้อาหารกับพระปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ อานิสงค์นั้นย่อมเกิดกับเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าเลี้ยงคนชั่วให้ออกไป
ทำบาปกรรม นั่นก็เท่ากับเราได้ทำบาปไปด้วยนะครับ

**********************************************

ในเวลาไม่กี่วันที่เข้าไปใช้ชีวิตเป็นบรรพชิต สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในแต่ละวัน
คือการออกไปบิณฑบาตรตอนเช้านี่แหละครับ

เรื่องน่าตื่นเต้นไม่ใช่แค่ลุ้นว่าวันไหนจะมีคนใส่บาตรมากน้อย เพราะจะมากจะน้อย
พระรูปนึง ก็ขนของกลับวันกันขี้ริ้วขี้เหร่คนละร่วม 5-6 กิโลอยู่แล้ว (นี่วัดจากพระท้ายแถว
นั่นคือพระบวชใหม่นะครับ) แต่ที่น่าตื่นเต้นคือ ในแต่ละวันจะมีคนเอาของมาใส่บาตร
กันหลากหลายชนิดที่เรียกว่า สุดแต่เจ้าตัวจะจินตนาการได้เลยตะหาก

บางคนมีความเชื่อเรื่องใส่บาตรประเภทที่ว่า ใส่เอาไว้ให้ตัวเองกินตอนตาย เพราะเคยอ่าน
หรือได้ยิน เรื่องคนที่ตายแล้วฟื้นกลับมาเล่าเป็นตุเป็นตะว่า ของที่เคยใส่ไปนะ ตอนอยู่ในนรก
มันมาตามนั้นเลย... ฮัดช่า! คุณลุงคุณป้าเลยใส่มาเต็มเหนี่ยวอย่างที่ว่าเลยครับ ข้าวร้อนๆ
ใส่มาเต็มทัพพี แกงใส่มาเป็นถุงแบบที่ขายตามตลาด บางคนตายแล้วกลัวไม่มีโจ๊กกิน
ก็เลยใส่โจ๊กเข้าบาตรแบบถุงเบ้อเร่อ เรียกว่าเล่นเอาพระใหม่พะรุงพะรังเอาเรื่อง
ดีที่มีเด็กวัดมาคอยรับของในบาตรไว้ ไม่งั้นพระเดินแค่สองสามเมตรก็ได้กลับหอฉันแล้ว
เพราะเต็มบาตรหมด นี่ยังไม่รวมประเภทน้ำเป็นขวด บางคนกลัวนรกมันร้อนมากมั้ง
ใส่เป๊บซี่ลิตรให้พระมาด้วย ป๊ากเดียวบาตรแทบคว่ำ

ข้างบนว่ากวนแล้ว แต่บางครั้งมีกวนกว่า ที่เจอกับตัวเองคือ ใส่บาตรด้วยน้ำปลาเป็นขวด
กระเทียม- พริกแห้งเป็นถุง เข้าใจว่าพระทำกับข้าวเองได้มั้งครับ หลวงพี่ที่บวชมาก่อน
เ่ล่าให้ฟังว่าสมัยบวชเณร จำวัดอยู่ที่พิษณุโลก มีญาติโยมอยากให้พระฉันส้มตำครับ
เพราะตัวเองมีพื้นเป็นคนอีสาน เห็นเณรมาจากอุดรเลย เลยใส่บาตรเป็นมะละกอดิบเป็นลูกๆ
มะเขือ กระเทียม พริกแห้ง เป็นถุง พร้อมสำทับว่า "ที่วัดคงมีครกหละเนาะ เอาไปเฮ็ดเองเด้อ"

ฮ่วย!!!...

แต่ท้ายสุด คงไม่มีใครเก๋เท่าวัยรุ่นไทยยุคเพลงอีโมฯ (มันคือเพลงแบบไหนวะ เข้าใจว่า
เป็นเพลงร้องยานๆ แบบพี่แบ๊งก์วงแคลช นั่นอะ) ที่สรรหาวิธีการมาใส่บาตรได้จ๊าบ
กระชากใจจริงๆ

พวกน้องๆ เค้าใส่บาตรด้วยน้ำมันเครื่ิองครับ!

วิธีการคือพอพระบิณฑบาตร เดินออกมานอกประตูวัด พวกน้องเค้าก็รออยู่ตรงทางแยกหน้าวัด
พอพระ-เณร เดินมาใกล้ๆ เขาก็ "แบ๊นๆๆๆๆๆๆ แหบนนนนนนนนนนนนนนนนน" เบิ้ลเครื่องระรัว
ปลดปล่อยไอเสียออกมา ก่อนกระชากตัวซิ่งหายลับสายตาขบวนบุญของบรรพชิตทั้งหลายไป ด้วยความที่เป็นพระไม่สามารถด่าแช่งใครได้ ถึงจะเจอเรื่องทุเรศเหลืออดแบบนี้ สิ่งที่พระทำได้คือ

"จำเริญๆ เด้อโยม"

ใช่ครับ เจริญพรไล่หลังน้องๆ อีโมฯ พวกนั้นไป

แต่ปกติเด็กพวกนี้ ไม่ได้มา แบ๊นๆ กันทุกวันหรอกครับ มันมีเหตุอยู่นิดนึงคือ พอขากลับเข้าวัด
ก็มีคันหลังสุดมารอส่งท้าย เณรที่บวชมาก่อนผมวันนึง ก็เดินเร่งมากระซิบข้างๆ ผมว่า "ครูบา
ไอ้พวกนั้นมันเป็นเพื่อนเณรเองหละ" ...แหม่เณร ดีนะมันไม่ไปเบิ้ลใส่บาตรกันหน้าหอฉันเลย

- -"

สาธุ...


***********************************************

ก่อนจากขอแนะนำวิธีการใ่สบาตรแบบคนที่ผ่านวัดวามาหน่อยแล้วกันครับ

- ใส่แค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ครับ อย่าง ข้าว กับข้าว น้ำดื่ม ขนมหวาน อย่างเดียวก็ได้
ไม่ผิดกฏ จำนวนไม่ต้องมากครับ คนละครึ่งทัพพี สี่สิบคนก็ยี่สิบทัพพีแล้วครับ ไอ้ประเภท
มาแบบคอมโบเซ็ทชุดประหยัดเนี่ย สงสารเด็กวัดบ้างก็ดีครับ หิ้วกันพะรุงพะรัง
เป็นลิงกินโต๊ะจีนเลย

- ของบางอย่างเราควรเปลี่ยนสภาพมันไม่ให้เหมือนรูปเดิมครับ เช่นไข่ ถ้าจะใส่บาตร
เป็นไข่ต้ม ควรแกะเปลือกออกให้เห็นเนื้อใน ผ่าให้รู้ว่าไข่สุกแล้วยิ่งดีครับ
ผลไม้ต้องทำให้มันเจริญเติบโตต่อไปไม่ได้อีก เช่น ควักเมล็ดออก หรือแทงเมล็ด
ให้แตก ของบางอย่างเช่นกล้วย ให้เฉือนปลายหัวท้ายออกก่อนใส่บาตร
เพราะพระฉันสิ่งที่ยังเจริญเติบโตต่อไป เช่น ลูกไม้ทั้งลูก เมล็ดพืชไม่กระเทาะเปลือก
ไม่ได้ครับ

- อ้อที่สำคัญ วัดมีโรงครัวเป็นโรงทานครับ ไม่ใช่โรงครัวทำกับข้าวให้พระฉัน
ของดิบอย่างที่เล่าไว้ข้างต้นไม่ต้องใส่มานะครับ พระทำกินเองไม่ได้ - -"


คราวนี้ มาเล่าเรื่องเครื่องแต่งกาย ที่กว่าจะแต่งเป็น เล่นเอาพระใหม่แทบอยากสึกครับ...

วันอาทิตย์, เมษายน 15, 2550

เรื่องเล่าจากหลังกำแพงวัด

ชีวิตคุณเคยบวชหรือยังครับ?...

ช่วงนี้ถามคำถามแบบนี้กันหน่อย เพราะเพิ่งสึกมาไม่กี่วันนี้เองครับ ไปใช้ชีวิตในร่มกาสาวพัตรมาพักนึง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หกอัก รักระทม อินเทรนด์อะไรกับชาวบ้านเขาหรอก

สาเหตุจริงๆ คืออยากลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในชีวิตแบบเงียบสงบดูบ้าง อยากรู้วิธีกรรมฐาน อยากรู้ว่าเราจะทำใจให้สงบได้จริงๆ บ้างไหม

ถึงจะเป็นการบวชเพียงไม่นาน แต่สุดท้ายที่ได้มา นอกจากหัวเกรียนติดหนังศรีษะ ก็คือเข้าใจถึงมุมมองทางศาสนาที่แสวงหาความสงบที่แท้จริงในชีวิต

เมื่อตอนบวช พอมองกลับถึงชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจถึงสภาวะของตัวเอง ที่น่าจะเรียกได้เวลา เมาหมัดไปกับการใช้ชีวิตได้เหมือนกัน

ทำให้เข้าใจว่า ทำไมการตื่นขึ้นมาทุกเช้า ต้องรู้สึกว่าไปทำงานทำไมมันเกิดขึ้นในหัว เข้าใจว่า สุดท้ายคนที่เลือกใช้ชีวิตแบบนั้นก็คือตัวเราเอง ไม่มีใครบังคับเราได้

เมื่อตอนเซ็นใบลาออก แว้บแรกที่นึกคือถามตัวเองว่าคิดดีแล้วเหรอ ตอนนี้ก็ตอบได้แล้วว่า มันเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว

เมื่อรู้สึกว่าหนทางข้างหน้ามันไม่มีอะไรแน่นอน มันไม่มีอะไรดีขึ้น เราก็ต้องออกมาหาทางเดินใหม่ด้วยตัวเองอีกครั้ง อย่าคาดหวังอะไรกับคนอื่นให้มากนัก สิ่งเดียวที่ทำได้ คือจัดการกับตัวเองให้ดีที่สุด แล้วเรื่องอื่นมันจะจัดการได้เอง

พอบวชถึงได้รู้ว่า ความรู้ความเข้าใจที่มีในพุทธศาสนา ยังห่างกับคำว่า "เข้าใจ" มากอยู่
คือรู้แต่ใช้อะไรมันไม่ได้เท่าไหร่ เข้าทำนอง ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ประมาณนั้น

สิ่งที่ต้องปรับปรุงตัวเองคือ การเอาเรื่องที่รู้ ออกมาใช้งานให้ได้มากที่สุด เปลี่ยนจากการเป็นพวกรู้มาก เป็นพวกทำได้มากให้เร็วๆ

ปัญหาอะไรที่ผ่านมาแล้ว ก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีก ปล่อยให้มันเป็นไปตามสภาพของมัน เราไม่ได้อยู่กับมันแล้ว ก็จงอย่าเอามันมาอยู่ในใจเราเอง

******************************************

ถึงจะสึกมาแล้วช่วงนี้ก็ยังต้องไปรับบาตรกับหลวงตา รวมถึงไปเช็กสภาพใจตัวเองกับหลวงตา ว่าพร้อมกลับไปลุยชีวิตที่กรุงเทพหรือยังอีกซักพัก

ต่อไปคงต้องวุ่นกับหลายเรื่องในชีวิต แต่ต้องปรับใจตัวเองให้ได้ก่อนว่า การเริ่มต้นใหม่ ทุกอย่างมันขลุกขลักไปหมดอย่างนี้แหละ ขอแค่ใจอย่าเอามันมาทุกข์มากนักก็พอ

เดี๋ยววันหลังมาต่อว่า พอไปบวชแล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในวัดบ้าง


วันนี้มาขอซ้อมมือหลังจากรื้อไปนานก่อนแล้วกันครับ

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 20, 2550

แพ้ใจ

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ผมพบกับความยากลำบากในใจอย่างแสนสาหัสที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง มันเกิดความรู้สึกกดดันและอยากปลดปล่อยของผมเองส่วนหนึ่ง อีกส่วนเกิดจากความรู้สึกลึกๆ ที่ตำหนิตัวเองถึงความโง่เขลาเบาปัญญาในเรื่องผู้หญิงเต็มประดา

ในโลกนี้ผมกล้าสารภาพได้เลยว่า สิ่งที่ไม่ควรนำมาใกล้ผม และผมเกรงกลัวมันเหลือเกิน ไม่ใช่หัวรบนิวเคลียร์ขนาดสามตันครึ่งที่ใช้ถล่มฮิโรชิม่า และนาราซากิ ไม่ใช่เสือไซบีเรียสูงสามเมตรที่พร้อมตะปบหัวผมเล่นแทนก้อนไหมพรม หรือเจ้าตุ๊กแกและเขียดตะปาดที่ผมแสนขยะแขยงมาตลอดชีวิต

สิ่งเดียวที่ผมไม่อยากให้อยู่ใกล้ๆ แบบประจัญหน้าเลย คือผู้หญิงฉลาดครับ

ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าผมเป็นพวกแพ้ทางผู้หญิงที่ฉลาดเป็นที่สุด ไม่รู้ว่าเวรกรรมมันเกิดจากอะไร แต่ความคลั่งไคล้ไหลหลงในความฉลาดของผู้หญิงมันมาเป็นเอามากตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย จริงๆ มันเริ่มก่อตัวแบบสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นความเป็นเพื่อนมันทำให้เราพอเลี่ยงบาลีไปได้ว่าไอ้ความรู้สึกแปลกๆ มันเป็นเพราะฮอร์โมนมันกระตุ้นจากของสวยๆ งามๆ รอบตัวเท่านั้น

แต่พอเรียนมหาวิทยาลัยมันเริ่มฉายแสงเจิดจรัสสว่างไสวดุจหลอดไฟซิลเวเนียเอา เพราะเริ่มรู้สึกตัวเองแล้วว่าเราไม่ได้ชอบผู้หญิงในแบบที่เพื่อนในคณะส่วนใหญ่ชอบสักเท่าไหร่ ประเภทนมโต หน้าสวย รวยทรัพย์ ยิ่งเป็นดาราชาวบ้านเขามองหันตามคอแทบหัก ผมสามารถนั่งสงบนิ่งแบบไม่ยินดียินร้ายปานสำเร็จวิชาเคล็ดใจน้ำแข็งตระกูลเนี่ยมาได้ ต่อให้อั้ม พัชราภามาลื่นล้มหวอหกตกหล่นอยู่ตรงหน้า ไอ้เอกคนนี้ก็ไม่ได้คิดจะมองไปยลเท่าไหร่ ถ้ามันไม่ได้อยู่ครรลองสายตาตอนนั้นนะ...

แล้วผมก็มาพบความจริงว่าตัวเองปลื้มผู้หญิงแบบไหนเอาตอนหลังสอบกลางเทอม เทอมสองเห็นจะได้ เพราะท็อปสุนทรียศาสตร์ที่ผมลงเรียนเทอมนั้นเป็นผู้หญิง ผู้หญิงที่หน้าตาพื้นในสายตาเพื่อนฝูง ดันกลายเป็นสาวที่ผมนั่งติดกันทุกครั้งที่ใส่ชุดนอนลงมาฟังเล็คเชอร์ (ฮา) ทั้งชั้นเรียนร้อยกว่าคน (จริงๆ ลงทะเบียนฟาดไปสามร้อยกว่า) มีไม่ถึงสิบคนที่นั่งอยู่สองแถวหน้า แน่นอนว่ามีเธอกับผมนั่งอยู่แถวนั้นด้วย เธอที่มาในชุดนักศึกษาเรียบร้อย สีหน้านิ่งเหมือนราชินีน้ำแข็ง ผมที่เข้าห้องเรียนมาในแบบประมุขพรรคกระยาจก ในเวลานั้นมันคงเป็นภาพที่ไม่มีนักศึกษาคนไหนในชั้นเรียนคิดจะจดจำมัน มีแค่อาจารย์ที่สอนเท่านั้นที่ชอบเดินลงมาทักว่าผมทำไมแต่งตัวแบบนี้ลงมาเรียน แล้วชี้ไปหาเธอว่าดูเพื่อนนั่งข้างๆ สิ เธอกำลังกลายเป็นทัศนะอุจาดสำหรับเขานะ ผมได้แต่หัวเราะแล้วขอตัวกลับไปนอนต่อ ส่วนเธอก็คงแยกไปเรียนวิชาอื่นตามประสาเด็กเรียนทั่วไป

แต่นั่นทำให้ผมพบว่าตัวเองมักวนเวียนอยู่กับผู้หญิงเก่งหลายคน ทั้งเก่งในแง่การเรียนและการทำงาน จนไม่น่าเชื่อว่าคนแบบผมจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ดูเหมือนคนคนละระดับชั้นแบบนั้นได้

แต่มันก็เป็นไปแล้ว แล้วก็ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยทำให้ผมมีวันนี้ด้วยใจจริง

แน่นอนว่าความไม่สบายใจครั้งล่าสุดนี้ ก็เกิดจากผู้หญิงฉลาดอย่างที่ว่า ปัญหาคือคราวนี้มันไม่ใช่แค่ผมรู้สึกคิดไปเองข้างเดียว แต่กลายเป็นเกมเอาเถิดเอาล่อแบบ "ใกล้ไปก็ผลัก ไกลไปก็ดึง" มาหลายเวลาแล้ว ครั้งล่าสุดใจจริงผมต้องการบอกกับเธอว่า "ผมต้องการออกไปจากชีวิตเธอ และอยากให้เธอออกไปจากชีวิตผม" แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันตีบตันอยู่ที่คอหอย คำพูดเป็นร้อยที่อยากปล่อยออกมากลับนิ่งงันอยู่อย่างนั้น ผมเสียเวลาพูดติวให้เธอมากมาย แต่ไม่กล้าเอ่ยคำลาครั้งสุดท้ายตอนเดินจาก

ผมอาจจะขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมเสียเธอไปตอนนี้ แม้ว่าทุกวันนี้ผมจะอยู่กับความคาดหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นได้เลยก็ตาม

ผมชอบประโยคหนึ่งจากเพื่อนในพันธุ์ทิพย์ที่บอกว่า "สวรรค์มีหกชั้น นรกมีสิบแปดขุม เลือกเอาว่าจะเดินทางไหน" และผมมั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกนรกอยู่

ผมอาจยอมตกนรก เพราะหวังว่าปลายทางจะมีบันไดสวรรค์รออยู่ข้างหน้า แต่จริงๆ แล้วมันคงไม่มีบันไดที่ว่าหรอก นรกอย่างไรก็คือนรกวันยังค่ำ

แต่ผมก็ยังเดินหนีจากนรกนี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นเธอ หรือเพราะทิฐธิโง่ๆ ที่ผมมีกันแน่ๆ

ผมอาจจะหวังว่าความดีที่มีจะชนะใจเธอสักวันหนึ่ง แต่ดูเหมือนวันนี้ผมจะแพ้ใจเธออยู่หลายช่วงตัว

ไม่ว่าผมจะคิดอะไรกับเธออยู่ตอนนี้ แต่การรอความรักจากคนที่ไม่รักเรา มันเจ็บปวดเหมือนตกนรกอย่างที่ว่า

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แปดปีที่แล้วผมคงเลือกไม่รู้จักเธอเสียดีกว่า

ไม่ใช่ว่าเธอแย่หรือเลวจนเกินอภัย แต่เธอดีเกินไปที่ผมจะลืมเธอลง


เท่านั้นเอง...

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 16, 2550

Amethyst

จริงๆ อัพเพลงนี้เปลี่ยนมาหลายวันแล้วครับ แต่ยังไม่มีโอกาสมาเขียน
หนึ่งเพราะขี้เกียจ สองคือหาเนื้อเพลง เพลงนี้จากในเน็ทไม่เจอ
ได้ความอนุเคราะห์จากคุณ "อดีต" (อีกแล้ว) เสาะหามาให้ วุ้ย เก่งจริง

จริงๆ อยากอัพอีกเพลงนึงขึ้นมากกว่า แต่มันยาวจริงๆ จนเอาใส่ใน
จีโอซิตี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะลองหาเว็บอัพโหลดไฟล์ได้ดูอีกที

เพลงนี้ชื่อว่า Amethyst เดิมเป็นเพลงบรรเพลงใช้สำหรับ Overture
ในคอนเสิร์ทของวง X-Japan ตอนหลังโยชิกิ เอามาเพิ่มเนื้อร้อง
และปรับเป็นเพลงโอเคสตร้า นักร้องชื่อ Kaya เป็นหนึ่งในนักร้อง
โปรเจ็คท์ Violet UK ของท่านโยชิกิเขา
Violet มาจากอะไรจำไม่ได้แล้ว ขี้เกียจไปดูคลิปสัมภาษณ์อีกรอบ
แต่ UK = Underground Kingdom ก็คือโปรเจ็คท์พัฒนาเพลง
ในแบบฉบับเพลงใต้ดินนั่นแหละครับ

ไหนๆ ก็เขียนถึงท่านโยชิกิแล้ว ก็มาเล่าถึงความเป็น "คุณหนู"
ของเขากันหน่อยดีกว่า นี่เป็นข้อมูจากการนั่งดูคลิปรายการ
ฉลองปีใหม่ของญี่ปุ่นเขานะครับ

- ตอนเล่นคอนเสิร์ท โยชิกิจะโด๊ปแรงด้วย ข้างแกงกะหรี่
- โยชิกิ อาบน้ำจากฝักบัวไม่เป็น จนกระทั่งไปทำงานเพลงที่อเมริกา (1992)
- โยชิกิมีไร่องุ่น และไวน์เป็นของตัวเอง ไวน์ของเขายี่ห้ออะไรให้ทาย...
X-Japan ครับ

ครั้งหน้าจะเปลี่ยนเพลงเป็นเพลงนี้นะครับ "Blind Dance" จาก Violet UK เช่นกัน

**************************************************

Amethyst

You were only a whisper away
But I can't touch your heart
If the words aren't enough to bare your soul
I would give you the more

You were always shining sun or rain
Like a violent storm
Close my eyes but you'll never fade
You never disappear

I feel alone
Can't you see me
Standing on the verge of moon
I'll be watching over stars till they are gone
Should I know nothing could make me miss you less

Oh, I've been waiting for you
To tell me what is love
I don't know how to be loved
How to be by your side
Morning light shines in my room
I'm holding dreams of you
It may take no less than this pain
But I can't stop loving you

Feel my heart
You have never known
That you have all of me
Every time I see you I'm falling in love
I can live a lie again but without you...

Oh, I've been waiting for you
To tell me what is love
I don't know how to be loved
How to be by your side
Morning light shines in my rooms
I'm holding dreams of you
It may take the rest of my life
But I can't stop loving you

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 11, 2550

Final Score, but isn't last exam...







หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ตั้งใจไว้ว่าต้องดูในโรงให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็เถอะ ติดใจตรงประเด็นเรื่องชีวิตของเด็กเตรียมเอ็นท์ฯ ที่ต้องมาเจอกับระบบ โอเน็ท เอเน็ทในปีที่ผ่านมาครั้งแรก ที่ทำให้หลายแสนครอบครัวแทบเป็นบ้าตายกับ อาการผีเข้าผีออกของผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่คัดเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา

อาจเพราะตัวเองมีประสบการณ์แย่ๆ มาแล้วด้วยกระมัง เลยอยากดูว่าผู้กำกับ
ที่ผ่านการเคี่ยวมาจากพี่เก้งจะทำหนังออกมาให้เรา "อิน" ได้มากแค่ไหน

คำตอบคือ เค้าทำได้เกินกว่าที่ผมนึกถึงเยอะครับ ต้องบอกว่า เด็กที่เขาตามถ่าย เป็นพวกมีของกันทุกคน ทำให้มิติของเรื่องราวตีออกไปได้ไกลกว่า เรื่องของการเตรียมตัวสอบเอ็นทร้านซ์อย่างเดียว เรื่องชีวิต ความรัก ความฝัน ของเด็กชายสี่คน พร้อมกับเพื่อนแวดล้อมมากมาย ทำให้ผมต้องอมยิ้มกับ "สิ่งที่พวกเขาเป็น"

นี่คือหนังที่กำลังก้าวผ่าน และคนที่เคยผ่านเส้นทางนี้มาแล้ว น่าเข้าไปดูบันทึกความทรงจำของพวกคุณ

ดูว่าระบบการศึกษาได้ฟูมฟักและทำร้ายเด็กของเรายังไงบ้าง ดูว่าเด็กคนหนึ่ง ไม่ได้มีหน้าที่เรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่เขามีเรื่องราวในชีวิตอีกเยอะแยะมากมายให้เรียนรู้ และทำความเข้าใจกับมัน

สุดท้าย Final Score อาจจะเป็นประตูสุดท้ายของเด็กวัยรุ่น ใช้ก้าวผ่านสู่รั้วมหาวิทยาลัย แต่ชีวิตคนเรา นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ต้องทำข้อสอบ เผลอๆ มันเป็นแค่ข้อสอบชุดแรก ในมหาวิทยาลัยชีวิตเท่านั้นเอง